การแจ้งเตือนแบบพุชของแอป (App push notifications) เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และแจ้งข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าแอปจะทำงานอยู่เบื้องหลังหรือไม่ก็ตาม การแจ้งเตือนเหล่านี้อาจเป็นข้อความต้อนรับ ข้อเสนอส่วนลด ข่าวสาร หรือสิ่งอื่น ๆ ที่คล้ายกัน จุดเด่นคือการแจ้งเตือนแบบพุชมีอัตราการส่งถึง 90% และ 40% ของผู้ใช้จะมีปฏิสัมพันธ์กับการแจ้งเตือนภายใน 1 ชั่วโมงหลังได้รับ
เพื่อช่วยเหลือนักพัฒนาแอป Apple มีบริการแจ้งเตือนแบบพุชโดยเฉพาะที่เรียกว่า Apple Push Notification Service (APNs) ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถส่งการแจ้งเตือนไปยังแอปที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ iOS ได้ ในคู่มือนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับบริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple (APNs) ทั้งหลักการทำงาน กรณีใช้งาน แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ
Part 1. บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple (APNs) คืออะไร?
บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple (Apple Push Notification Service: APNs) คือบริการคลาวด์จาก Apple ที่อนุญาตให้แอปของบุคคลที่สามที่ได้รับอนุมัติสามารถส่งการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์ Apple ผ่านการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล นักพัฒนาแอปสามารถส่งการแจ้งเตือนไปยังแอปที่ติดตั้งไว้ แม้ว่าผู้ใช้จะไม่ได้ใช้งานแอปอยู่ก็ตาม การแจ้งเตือนอาจเป็นข้อความสั้น ๆ การแจ้งเตือนและอัปเดต เนื้อหามัลติมีเดีย หรือรูปแบบอื่น ๆ
การแจ้งเตือนผ่าน APNs สามารถเล่นเสียงเฉพาะ แสดงข้อความ อัปเดต badge หรือแจ้งเตือนแบบเงียบในแอป เช่น แอปข่าวสามารถส่งการแจ้งเตือนข่าวด่วนให้ผู้ใช้ iPhone ได้ ปัจจุบัน APNs เป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศ Apple และมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารของแอปบนมือถือ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลอัปเดตอย่างรวดเร็ว
APNs ทำงานอย่างไร?
หลักการทำงานของบริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple (APNs) มีขั้นตอนหลักดังนี้:
- การลงทะเบียน: นักพัฒนาแอปต้องลงทะเบียนแอปกับ Apple เพื่อใช้ APNs โดยต้องขอใบรับรอง APNs และนำไปเชื่อมกับเซิร์ฟเวอร์ของแอป ใบรับรองนี้ใช้เพื่อความปลอดภัย ให้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถส่งการแจ้งเตือนได้
- การลงทะเบียนอุปกรณ์: เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปบน iPhone ตัวแอปจะลงทะเบียนกับ APNs และได้รับ device token เฉพาะ ซึ่ง token นี้เปรียบเสมือนที่อยู่ของอุปกรณ์นั้น
- การสร้างข้อความ: เมื่อเกิด event ในแอป จะมีการสร้างข้อความซึ่งอาจประกอบด้วยเนื้อหา เสียง badge และข้อมูลอื่น ๆ จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ของแอปจะส่งข้อความพร้อม device token ไปยัง APNs
- การรับข้อความโดย APNs: APNs จะได้รับข้อความที่ประกอบด้วย device token และ payload โดย device token จะช่วยให้ APNs ส่งการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์ที่ถูกต้อง ส่วน payload คือข้อมูลในรูปแบบ JSON ที่ระบุเนื้อหาและวิธีแจ้งเตือนผู้ใช้
- การส่งต่อข้อความ: APNs จะส่งข้อความไปยังอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องโดยใช้ device token จากนั้นระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์จะแสดงข้อความตามที่กำหนด
ทั้งหมดนี้คือวิธีที่ APNs ใช้ใบรับรอง, device token และ payload ในรูปแบบ JSON เพื่อรับและส่งต่อการแจ้งเตือนแบบพุชไปยังผู้ใช้แอปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทข้อความที่รองรับโดย APNs
บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple (APNs) รองรับข้อความหลายประเภท ได้แก่:
- Alert: การแจ้งเตือนที่กระตุ้นให้ผู้ใช้โต้ตอบ (เสียง ข้อความ หรือ badge)
- Background: การแจ้งเตือนที่ส่งในเบื้องหลังโดยไม่รบกวนผู้ใช้
- Location: การแจ้งเตือนเพื่อขอพิกัดตำแหน่งของผู้ใช้
- VoIP: การแจ้งเตือนสำหรับสายเรียกเข้าแบบ Voice-over-IP (VoIP)
- Complication: การแจ้งเตือนที่มีข้อมูลสำหรับ complication ของแอปบน watchOS
- File Provider: การแจ้งเตือนที่แจ้งการเปลี่ยนแปลงของส่วนขยาย File Provider
- MDM: การแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์ที่ถูกจัดการเพื่อให้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ Mobile Device Management
คุณสามารถเลือกประเภทข้อความที่เหมาะสมและส่งการแจ้งเตือนผ่าน APNs ได้ตามต้องการ
โครงสร้างและข้อจำกัดของ Payload
การแจ้งเตือนแต่ละครั้งที่เซิร์ฟเวอร์แอปส่งไปยัง APNs จะมีเพย์โหลดแนบไปด้วย ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เพย์โหลด (กำหนดด้วย JSON) จะประกอบด้วยข้อความที่ต้องการส่งไปยังแอปและข้อมูลเกี่ยวกับวิธีแจ้งเตือนผู้ใช้
องค์ประกอบสำคัญของเพย์โหลดสำหรับการแจ้งเตือนแบบรีโมต ได้แก่:
- APS Dictionary : ดิกชันนารีนี้มีคีย์ที่ Apple กำหนดไว้สำหรับแสดงการแจ้งเตือน เล่นเสียง แสดงตัวเลขบนไอคอนแอป และจัดการการแจ้งเตือนแบบเงียบ
- Custom Keys : คุณสามารถเพิ่มคีย์ที่กำหนดเองเพื่อส่งข้อมูลขนาดเล็กไปยังแอปของคุณ หรือ notification content/service app extension ได้ โดยค่าของคีย์เหล่านี้ควรเป็นประเภทพื้นฐาน เช่น string, array, dictionary, Boolean หรือ number ซึ่งมักใช้เพื่อช่วยให้โค้ดของคุณประมวลผลการแจ้งเตือนได้สะดวกขึ้น เช่น อาจเพิ่มสตริงรหัสเฉพาะเพื่อให้โค้ดค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแอปได้
เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างเพย์โหลดได้ชัดเจนขึ้น ดูตัวอย่างด้านล่างนี้ เป็นเพย์โหลดสำหรับการแจ้งเตือนที่แสดงข้อความเชิญชวนให้ผู้ใช้เข้าเล่นเกม หากระบบพบคีย์ category ที่ตรงกับ UNNotificationCategory object ที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้านี้ ระบบจะเพิ่มปุ่ม action ลงในข้อความแจ้งเตือน ในตัวอย่างนี้ category จะมี action สำหรับเริ่มเกมทันที ส่วนคีย์ gameID ที่กำหนดเองจะระบุรหัสที่แอปสามารถนำไปใช้ดึงข้อมูลคำเชิญเล่นเกมได้
{
"aps" : {
"alert" : {
"title": "Game Request",
"subtitle": "Five Card Draw",
"body": "บ๊อบ ต้องการเล่นโป๊กเกอร์"
},
"category": "GAME_INVITATION"
},
"gameID" : "12345678"
}
นอกจากโครงสร้างเพย์โหลดแล้ว คุณควรคำนึงถึงขนาดสูงสุดของเพย์โหลดที่ APNs อนุญาตด้วย ได้แก่:
- การแจ้งเตือน VoIP: 5 KB (5120 ไบต์)
- การแจ้งเตือนแบบรีโมตอื่น ๆ: 4 KB (4096 ไบต์)
ดังนั้น คุณต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดขนาดเพย์โหลดข้างต้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธคำขอ
Part 2. กรณีใช้งานและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของบริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple
มีหลายสถานการณ์ที่บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple (APNs) ถูกนำมาใช้บ่อย ตัวอย่างสำคัญมีดังนี้:
การแจ้งเตือนตามพฤติกรรมผู้ใช้
คุณสามารถใช้ APNs เพื่อส่งการแจ้งเตือนที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น ส่งข้อความต้อนรับเมื่อผู้ใช้ติดตั้งหรือสมัครใช้งานแอป หรือเสนอส่วนลดพิเศษเมื่อผู้ใช้มีสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ การแจ้งเตือนเหล่านี้ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์และยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ได้อย่างดี
การแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบริการ
คุณยังสามารถใช้ APNs เพื่อส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงบริการ เช่น การชำระเงิน โลจิสติกส์ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น ส่งอัปเดตสถานะคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ หรือแจ้งเตือนเมื่อบัตรเครดิตของผู้ใช้หมดอายุ
การแจ้งเตือนตามตำแหน่งที่ตั้ง
คุณสามารถใช้ข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้ร่วมกับ APNs เพื่อส่งการแจ้งเตือนตามตำแหน่ง เช่น แนะนำร้านกาแฟ โรงแรม หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับแอปของคุณ
สรุปแล้ว บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple มีกรณีใช้งานที่หลากหลาย และยังมีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ควรคำนึงเมื่อส่งการแจ้งเตือนแบบพุช ดังนี้:
- ส่งการแจ้งเตือนแบบเฉพาะบุคคลตามพฤติกรรมและความชอบของผู้ใช้ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมสูงสุด
- ส่งการแจ้งเตือนในเวลาที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการส่งบ่อยเกินไป
- ทำให้ข้อความแจ้งเตือนกระชับและมีประโยชน์ (ไม่เกิน 100 ตัวอักษร)
- ออกแบบการแจ้งเตือนให้เป็น actionable alerts หรือแจ้งเตือนที่ผู้ใช้สามารถตอบสนองได้
สรุป การใช้ APNs อย่างมีประสิทธิภาพควรวางกลยุทธ์ในการส่งการแจ้งเตือนแบบพุช ทดสอบแนวทางต่าง ๆ และเน้นวิธีที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้มากที่สุด
Part 3. ทำไมต้องเลือกใช้บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple จากผู้ให้บริการภายนอก
แม้ว่าการเชื่อมต่อกับ Apple Push Notification Service (APNs) โดยตรงจะให้คุณควบคุมได้เต็มที่ แต่ก็ต้องใช้ทรัพยากรและการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง บริการจากผู้ให้บริการภายนอกสามารถช่วยลดภาระเหล่านี้ ทำให้คุณโฟกัสกับฟีเจอร์หลักและประสบการณ์ผู้ใช้ของแอปได้มากขึ้น ก่อนอื่น มาดูอุปสรรคที่อาจเจอเมื่อต้องพัฒนา APNs ด้วยตนเอง
การเชื่อมต่อกับ APNs โดยตรงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาหลายด้าน ทั้งในเรื่องต้นทุนและทรัพยากร ดังนี้:
- การเป็นสมาชิก Apple Developer Program: หากต้องการเข้าถึง APNs คุณต้องสมัครเป็นสมาชิก Apple Developer Program โดยมีค่าใช้จ่ายปีละ $99
- โครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์: คุณต้องมีเซิร์ฟเวอร์เพื่อส่งการแจ้งเตือนแบบพุชไปยัง APNs แม้ว่า APNs จะให้บริการฟรี แต่การดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์ของคุณอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- เวลาสำหรับการพัฒนา: การตั้งค่าและจัดการ APNs ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ซึ่งอาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของความต้องการของคุณ
- การจัดการข้อผิดพลาด: การพัฒนาระบบจัดการข้อผิดพลาดและกลไกการลองใหม่ที่มีประสิทธิภาพอาจใช้ทรัพยากรจำนวนมาก
- การขยายระบบ: เมื่อจำนวนผู้ใช้เติบโตขึ้น การขยายโครงสร้างพื้นฐานของคุณเพื่อรองรับการแจ้งเตือนที่มากขึ้นอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ APNs ข้างต้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้บริการจากผู้ให้บริการบุคคลที่สาม ซึ่งบริการเหล่านี้ช่วยลดภาระต่าง ๆ ได้ดังนี้:
- ความคุ้มค่า: มักมีโมเดลราคาหลายระดับ รวมถึงแบบใช้ฟรี ซึ่งคุ้มค่ากว่าการดูแลโครงสร้างพื้นฐานเอง
- ใช้งานง่าย: มีแดชบอร์ดและเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ช่วยให้การตั้งค่าและจัดการการแจ้งเตือนแบบพุชเป็นเรื่องง่ายขึ้น
- ฟีเจอร์ขั้นสูง: หลายบริการมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ และการทดสอบ A/B โดยไม่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม
- ความน่าเชื่อถือ: มีความน่าเชื่อถือและอัตราการส่งถึงสูง พร้อมระบบจัดการข้อผิดพลาดและกลไกการลองใหม่ในตัว
- การสนับสนุน: มีฝ่ายสนับสนุนลูกค้าช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ลดความจำเป็นในการมีผู้เชี่ยวชาญในทีมของคุณเอง
หมายเหตุ: บริการแจ้งเตือนแบบพุชของบุคคลที่สามก็ต้องชำระค่าธรรมเนียม $99 เช่นกัน
Part 4. ผู้ให้บริการการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple ที่ดีที่สุด: FCM vs EngageLab
เมื่อเราได้กล่าวถึงข้อดีของการใช้บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple จากผู้ให้บริการบุคคลที่สามแล้ว คำถามถัดไปคือควรเลือกผู้ให้บริการรายใด ในมุมมองนี้ Firebase Cloud Messaging (FCM) และ EngageLab ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยม ด้านล่างนี้คือการเปรียบเทียบข้อดีของผู้ให้บริการการแจ้งเตือนแบบพุชทั้งสองราย:
เปรียบเทียบระหว่าง Firebase Cloud Messaging (FCM) และ EngageLab
Firebase Cloud Messaging (FCM):
- การแจ้งเตือนแบบพุชบน iOS: รองรับการแจ้งเตือนพื้นฐานสำหรับ iOS แต่ไม่มีตัวอย่างแสดงผลล่วงหน้าและรองรับสื่อสมบัติ (rich media) ได้จำกัด
- Push API: API รองรับเฉพาะการแจ้งเตือนแบบพุชโดยแบ่งกลุ่มผู้ใช้ได้จำกัด ไม่มีฟีเจอร์กำหนดเขตเวลาผู้ใช้หรือการแจ้งเตือนหลายภาษา และมีไลบรารี API ที่ซับซ้อน
- การวิเคราะห์ผลลัพธ์หลังการแจ้งเตือน: ไม่รองรับการตรวจสอบวงจรชีวิตของข้อความในระดับอุปกรณ์ สามารถใช้ฟังก์ชัน Firebase สำหรับจัดการ callback ของการแจ้งเตือน แต่ต้องเชื่อมต่อกับระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) ของ Firebase เพื่อดูข้อมูลเชิงลึก
- การสนับสนุนทางเทคนิค: ส่วนใหญ่ผ่านฟอรั่มสาธารณะหรือระบบซัพพอร์ต โดยคำถามจำนวนมากอาจไม่ได้รับคำตอบ
- ราคา: FCM ให้ใช้งานฟรีในเบื้องต้น แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการจัดเก็บข้อมูล การโฮสต์รูปภาพ และการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงโมเดลราคาสำหรับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ แยกต่างหาก
บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ EngageLab
- การแจ้งเตือนแบบพุชบน iOS: รองรับการแจ้งเตือนทุกรูปแบบบน iOS พร้อมรองรับ rich media ในตัว และยืนยันการส่งแบบเรียลไทม์
- Push API: รองรับการแบ่งกลุ่มผู้ใช้อย่างหลากหลาย มีตัวอย่างโค้ดหลายภาษา ตั้งเวลาส่ง และกำหนดเขตเวลาผู้ใช้ปลายทางได้
- การวิเคราะห์ผลการแจ้งเตือน: มี Dashboard API พร้อมข้อมูลสถิติแบบหลายมิติ รองรับการค้นหาข้อมูลสถิติ การตรวจสอบวงจรชีวิตข้อความในระดับอุปกรณ์ และ push callback
- การสนับสนุนทางเทคนิค: มีบริการลูกค้าแบบ manual 7/24 หลายภาษา ฟรี พร้อมเอกสารภาษาอังกฤษ ภาษาจีนตัวย่อ และภาษาจีนตัวเต็ม
- ทดลองใช้งานฟรี: มีบริการทดลองใช้ฟรีการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple 30 วัน พร้อมฟีเจอร์ครบถ้วน และคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง
ทำไมควรเลือกบริการแจ้งเตือนแบบพุชของ EngageLab?
จากการเปรียบเทียบระหว่าง Firebase Cloud Messaging (FCM) และ EngageLab ข้างต้น จะเห็นได้ชัดว่าบริการแจ้งเตือนแบบพุชของ EngageLab มีฟีเจอร์ครบถ้วนและคุ้มค่ากว่า
สรุปฟีเจอร์เด่นของ EngageLab ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านบริการการแจ้งเตือนแบบพุชสำหรับแอป:
- การแจ้งเตือนแบบพุชที่ชาญฉลาดและแม่นยำ : เชื่อมต่อ SDK ได้ง่ายใน 3 นาที พร้อมช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและรักษาผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การแจ้งเตือนแบบกำหนดเป้าหมาย : ส่งการแจ้งเตือนที่ตรงกับพฤติกรรม แท็ก และโปรไฟล์ของผู้ใช้ เช่น ข้อความต้อนรับ ข้อเสนอเฉพาะบุคคล ฯลฯ
- อัตราการส่งถึงสูง : รองรับทั้ง APNs, FCM และช่องทางที่พัฒนาขึ้นเอง พร้อมปรับปรุงอัตราการส่งข้อความให้ถึงผู้ใช้มากยิ่งขึ้น
- รูปแบบการแจ้งเตือนที่หลากหลาย : เลือกได้ทั้งแบบแถบแจ้งเตือน เต็มหน้าจอ หรือแบบกำหนดเอง
- การวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบถ้วน : วิเคราะห์ข้อมูล funnel ของข้อความเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้ใช้
สรุปแล้ว EngageLab ตอบโจทย์ทุกความต้องการในฐานะผู้ให้บริการการแจ้งเตือนแบบพุชสำหรับแอปที่ครบฟีเจอร์และล้ำสมัย
แล้วจะรออะไรอยู่? รับสิทธิ์ทดลองใช้ฟรีบริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple 30 วันกับ EngageLab และยกระดับกลยุทธ์การแจ้งเตือนของคุณตั้งแต่วันนี้
สรุป
Apple Push Notification Service (APNs) คือบริการคลาวด์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสื่อสารกับผู้ใช้แอปแบบเรียลไทม์ รองรับการแจ้งเตือนหลายรูปแบบและมีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับกลยุทธ์การตลาดในปี 2025 อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้เลือกใช้บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple ผ่านผู้ให้บริการภายนอก เพื่อความสะดวกและฟีเจอร์ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น EngageLab คือผู้ให้บริการการแจ้งเตือนแบบพุชสำหรับแอปที่เหมาะสมที่สุดด้วยฟีเจอร์ที่โดดเด่นครบถ้วน ถึงเวลาลงมือแล้ววันนี้ ทดลองใช้ บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ EngageLab ฟรี 30 วัน แล้วเริ่มต้นสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้แอปของคุณ
เริ่มใช้ฟรี






