ปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จของทุกธุรกิจคืออะไร? เป็นเรื่องของสายผลิตภัณฑ์ การตั้งราคา การคาดการณ์กำไร เนื้อหาหรือช่องทางโฆษณาหรือไม่? แม้ทุกปัจจัยเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การระบุกลุ่มเป้าหมาย ให้ชัดเจน
หากเว็บไซต์ขององค์กรนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภทในระดับโลก กลุ่มผู้ชมจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มสังคมและประชากรที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการและความสนใจเฉพาะตัว ดังนั้นองค์กรจึงควรทำ การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ (User Segmentation) เพื่อให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในบทความนี้ เราจะพูดถึง การแบ่งกลุ่ม Push Notification ว่าเหตุใดองค์กรจึงควรแบ่งกลุ่มผู้ใช้ และวิธีที่การแบ่งกลุ่มนี้จะช่วยให้องค์กร เพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) ในแคมเปญ Push Notification ได้อย่างไร พร้อมทั้งยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย

ส่วนที่ 1: การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ในแคมเปญ Push Notification คืออะไร?
การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ (User Segmentation) คือกระบวนการแบ่งกลุ่มเป้าหมายขององค์กรออกเป็นกลุ่มย่อยต่าง ๆ ตามเกณฑ์ที่หลากหลาย เช่น
- พฤติกรรมภายในแอป (เช่น การคลิก เวลาที่ใช้งาน การกระทำต่าง ๆ)
- ประวัติการซื้อและความถี่ในการทำธุรกรรม
- ข้อมูลประชากร (เช่น อายุ เพศ ระดับรายได้)
- ภูมิศาสตร์และโซนเวลา (เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง หรือช่วงเทศกาลในประเทศไทย)
- ประเภทอุปกรณ์และแพลตฟอร์มที่ชื่นชอบ
- ภาษาและการตั้งค่าภูมิภาค
- ระดับการมีส่วนร่วมหรือสถานะการใช้งาน
- ความสนใจส่วนตัวและพฤติกรรมการท่องเว็บ
การแบ่งกลุ่มนี้ โดยเฉพาะในแคมเปญ Push Notification จะช่วยให้องค์กรเข้าใจผู้ใช้และสามารถสร้างข้อความที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
เมื่อองค์กรทราบความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่มหรือแต่ละบุคคล จะสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ปรับแต่งเฉพาะกลุ่ม ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมที่มากขึ้น เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และท้ายที่สุดจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ
หากองค์กรละเลยการแบ่งกลุ่มผู้ใช้ในแคมเปญ Push Notification ก็จะส่งข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องและสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้ ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกการรับข้อความ การแบ่งกลุ่มอย่างถูกต้องจึงมีข้อดีมากมาย
ส่วนที่ 2: ทำไมต้องแบ่งกลุ่มในแคมเปญ Push Notification?

การแบ่งกลุ่ม Push Notification ช่วยให้องค์กรเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้และสามารถเขียนข้อความที่ตรงใจและเชื่อมโยงกับผู้ใช้ในระดับลึกยิ่งขึ้น นี่คือข้อดีที่พิสูจน์แล้วของการแบ่งกลุ่มผู้ใช้ในแคมเปญ Push Notification:
- อัตราการมีส่วนร่วมสูงขึ้น: เมื่อองค์กรส่งข้อความที่ตรงกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย อัตราการมีส่วนร่วมจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ผู้ใช้รู้สึกเชื่อมโยงกับข้อความและได้รับประสบการณ์เฉพาะบุคคลซึ่งช่วยสร้างความไว้วางใจ
- อัตราการแปลงสูงขึ้น: การส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการ ความสนใจ และสถานะทางการเงินของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ตัดสินใจซื้อหรือสมัครใช้งาน อัตราการแปลงเพิ่มขึ้นถึง 7% ด้วยกลยุทธ์นี้
- ลดการยกเลิกการรับข้อความ: ผู้ใช้จะไม่ยกเลิกบริการหากข้อความที่ได้รับตรงกับความสนใจของตนเอง เมื่อองค์กรส่งข้อความที่เกี่ยวข้อง อัตราการคงอยู่ของผู้ใช้สูงถึง 97.3%
- ประสบการณ์ผู้ใช้ดีขึ้น: การส่ง Push Notification ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายและเกี่ยวข้อง จะช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้และทำให้แอปขององค์กรมีคุณค่ามากขึ้น
- รายได้เพิ่มขึ้น: สุดท้าย รายได้จะเพิ่มขึ้นจากการทำการตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม มีการมีส่วนร่วมมากขึ้น การรักษาผู้ใช้ดีขึ้น และลดการยกเลิกการรับข้อความ องค์กรที่แบ่งกลุ่มอย่างเหมาะสมจะได้ ROI สูงขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับการส่งข้อความทั่วไปถึงทุกกลุ่ม
ยิ่งการแบ่งกลุ่มมีความละเอียดและลึกมากเท่าไร องค์กรก็จะได้รับประโยชน์จากแคมเปญ Push Notification มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนที่ 3: 4 กลยุทธ์สำคัญในการแบ่งกลุ่มผู้ใช้สำหรับแคมเปญ Push Notification

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่การสร้างกลุ่มตามปัจจัยต่าง ๆ เท่านั้น แต่คือกระบวนการส่งมอบคุณค่าในเวลาที่เหมาะสมและด้วยวิธีที่ถูกต้อง
ก่อนที่องค์กรจะเริ่มสร้างกลุ่มเป้าหมาย องค์กรควรเข้าใจกลยุทธ์หลักที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้กระบวนการแบ่งกลุ่ม Push Notification มีความหมายและประสบความสำเร็จ
ต่อไปนี้คือ 4 กลยุทธ์ Push Notification ที่ช่วยให้องค์กรตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม, ทำการสื่อสารอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด และเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดจากแต่ละการแจ้งเตือนที่ส่งออกไป
1 การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม (Behaviour Segmentation)
การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมจะมุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ตามพฤติกรรมของพวกเขาภายในแอป ผู้ใช้แต่ละรายจะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เช่น การคลิกดูสินค้า การสั่งซื้อ หรือการไม่ใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ดังนั้น การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมจึงช่วยให้สามารถสร้างข้อความที่ตอบโจทย์เจตนาของผู้ใช้จริง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้กลับมาใช้งานได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา
🔨 ตัวอย่าง
แอปอีคอมเมิร์ซตรวจพบผู้ใช้ที่มักละทิ้งตะกร้าสินค้าและส่ง push notification แบบเฉพาะบุคคลพร้อมโค้ดส่วนลดเพื่อกระตุ้นให้ชำระเงิน
2 การแบ่งกลุ่มตามคุณลักษณะ (Attribute Based Segmentation)
การแบ่งกลุ่มประเภทนี้เหมาะสำหรับองค์กรที่มีข้อมูลผู้ใช้อย่างเป็นระบบและต้องการสร้างแคมเปญ push notification แบบเฉพาะบุคคลในวงกว้าง โดยจะสร้างกลุ่มผู้ใช้ตามตำแหน่งงาน แผนการสมัครสมาชิก ขนาดบริษัท และความสนใจที่ระบุไว้
🔨 ตัวอย่าง
แอปฟิตเนสแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามอายุและเพศ แล้วแนะนำแผนออกกำลังกายที่แตกต่างกัน เช่น โปรแกรมออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำสำหรับผู้หญิงอายุเกิน 50 ปี
3 การแบ่งกลุ่มตามหลายภาษา (Multilanguage Segmentation)
สำหรับองค์กรระดับโลกที่มีกลุ่มเป้าหมายจากหลายประเทศและพูดภาษาต่างกัน การแบ่งกลุ่มแบบนี้จะเหมาะสมที่สุด ด้วยการแบ่งกลุ่มตามภาษา องค์กรจะมั่นใจได้ว่าแคมเปญ push notification ของตนสื่อสารกับผู้ใช้หลากหลายกลุ่มได้อย่างตรงใจโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาหลัก การแบ่งกลุ่มนี้คือการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรมขณะยังคงรักษาเสียงของแบรนด์ให้สม่ำเสมอ
🔨 ตัวอย่าง
แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวตรวจสอบภาษาของอุปกรณ์ผู้ใช้และส่งอีเมลโปรโมชั่นเป็นภาษาท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ เช่น ภาษาสเปนสำหรับผู้ใช้ในเม็กซิโก
4 การแบ่งกลุ่มตามสถานที่ (Location Based Segmentation)
แต่ละประเทศหรือภูมิภาคมีอีเวนต์ท้องถิ่นและเทศกาลทางศาสนาของตนเอง ด้วยการแบ่งกลุ่มตามสถานที่ องค์กรสามารถส่ง push notification ตามอีเวนต์เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้และช่วยเพิ่มอัตราการตอบกลับอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การแจ้งเตือนเกี่ยวกับโปรโมชั่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือวันลอยกระทงสำหรับผู้ใช้ในประเทศไทย
🔨 ตัวอย่าง
แอปส่งอาหารจะส่ง push notification สำหรับเมนูร้อนหรือซุปให้กับผู้ใช้ในพื้นที่ที่ฝนตก โดยอ้างอิงข้อมูลสภาพอากาศท้องถิ่นแบบเรียลไทม์
เมื่อองค์กรแบ่งกลุ่มเป้าหมายตาม 4 กลยุทธ์ Push Notification นี้ จะสามารถวางรากฐานของแคมเปญ push notification ที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในระดับองค์กร เมื่อเข้าใจพฤติกรรม ความสนใจ สถานที่ และวิธีการที่ผู้ใช้ต้องการสื่อสาร ธุรกิจจะสามารถส่ง push notification แบบเฉพาะบุคคลที่สร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้
ส่วนที่ 4: วิธีส่ง Push Notification แบบตรงกลุ่มเป้าหมายด้วย EngageLab
EngageLab คือแพลตฟอร์มการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าชั้นนำระดับโลกที่ นำเสนอโซลูชันการสื่อสารแบบหลายช่องทางสำหรับองค์กร ด้วยการสร้างประสบการณ์การสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างธุรกิจกับกลุ่มเป้าหมาย และช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลงและการรักษาผู้ใช้

บริการ push notification ของ EngageLab สามารถเชื่อมต่อ SDK ได้ใน 3 นาที พร้อมทั้งใช้ push notification ที่ชาญฉลาดและแม่นยำเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและการรักษาผู้ใช้
# จุดเด่นของ EngageLab
EngageLab คือโซลูชันแบบ Multichannel สำหรับทุกธุรกิจ
- Multi-Channel Marketing: EngageLab เป็นแพลตฟอร์มแบบ all-in-one ที่มีการผสานรวมสูง รองรับหลายช่องทางการตลาด: AppPush, WebPush, SMS, OTP, WhatsApp, Email และ Marketing Automation
- High Delivery Success: Push Notification มักล้มเหลวเนื่องจากปัญหาบริการหรือความแตกต่างของอุปกรณ์ EngageLab แก้ไขปัญหานี้ด้วยการใช้เส้นทางการจัดส่งหลายแบบ เช่น FCM, APN และ native channel จากแบรนด์อย่าง Huawei และอื่น ๆ ช่วยเพิ่มการส่งข้อความได้มากขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับการตั้งค่าพื้นฐาน
- Rich Notification Formats: รองรับทั้งการแจ้งเตือนมาตรฐาน เตือนเต็มหน้าจอ ภาพ ป๊อปอัป และเลย์เอาต์แบบกำหนดเอง ทุกรูปแบบการแจ้งเตือนถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจโดยใช้ข้อมูลให้น้อยที่สุด
- Precise Targeting: ท่านสามารถกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ตามแท็ก ประเภทอุปกรณ์ กลุ่มผู้ใช้ หรือพฤติกรรม ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น ผู้ใช้ใหม่ ผู้ใช้ที่ไม่เคลื่อนไหว (inactive users) หรือผู้ที่ใกล้จะทำรายการสั่งซื้อ
- Performance Insights: EngageLab ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของข้อความ ท่านสามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ผลและปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
- Marketing Automation: มีเครื่องมือสร้าง workflow แบบ drag-and-drop และเทมเพลตที่พร้อมใช้งาน เพื่อออกแบบแคมเปญ push แบบ trigger-based ที่มีอัตรา conversion สูง
ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่เพิ่มความซับซ้อนในการดำเนินงาน
# คู่มือแบบ Step-by-Step สำหรับการสร้างแคมเปญ Push Notification แบบแบ่งกลุ่มใน EngageLab
การตั้งค่าแคมเปญ Push Notification แบบกำหนดเป้าหมายใน EngageLab นั้นง่ายและตรงไปตรงมา แต่ควรตั้งค่า segmentation อย่างแม่นยำ ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่ทีมองค์กรสามารถทำตามเพื่อสร้างแคมเปญ Push Notification ที่ประสบความสำเร็จกับ EngageLab
ขั้นตอนที่ 1: สร้างข้อความแจ้งเตือน
เข้าสู่ระบบแดชบอร์ด EngageLab ของท่าน แล้วไปที่:
Push > Create a Push > Create a Notification Message

ขั้นตอนที่ 2: กำหนดหัวข้อและเนื้อหาข้อความให้ชัดเจน
ใส่หัวข้อที่มีความหมายและกระชับสำหรับ Push Notification หลีกเลี่ยงการใช้ข้อความ placeholder หรือชุดตัวเลข เพราะอาจทำให้การแจ้งเตือนถูกกรองโดยผู้ผลิตอุปกรณ์
จากนั้นใส่เนื้อหาหลักของการแจ้งเตือน เช่นเดียวกับหัวข้อ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อความมีความเกี่ยวข้อง โทนและรูปแบบควรสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของแบรนด์และบริบทของผู้ใช้
⭐ ขั้นตอนที่ 3: แบ่งกลุ่มกลุ่มเป้าหมายของท่าน
ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มกลุ่มเป้าหมายตาม registration ID และอุปกรณ์ผู้ใช้ หรือเลือกปรับแต่ง segmentation ได้ตามต้องการ
EngageLab รองรับ custom tags เพื่อการตลาดผ่าน Push Notification ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
- การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายสำหรับการแจ้งเตือนแบบพุช
- สร้างแท็กกลุ่มเป้าหมายสำหรับการแจ้งเตือนแบบพุช


ขั้นตอนที่ 4: เปิดใช้งานการรองรับหลายภาษา (Multilingual Support)
สำหรับการกำหนดเป้าหมายหลายภาษา ให้กรอกเนื้อหาในหลายภาษา EngageLab จะตรวจจับภาษาของอุปกรณ์ผู้รับโดยอัตโนมัติและแสดงเวอร์ชันที่ตรงกัน หากไม่มีเนื้อหาเฉพาะภาษานั้น ข้อความจะถูกแสดงเป็นเวอร์ชันภาษาหลัก
ใช้ฟีเจอร์แปลภาษาแบบคลิกเดียวที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยให้การแปลและปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับท้องถิ่นรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยไม่ลดทอนความชัดเจนของเนื้อหา
ขั้นตอนที่ 5: กำหนดเวลาส่งข้อความ

คุณสามารถตั้งเวลาส่งข้อความได้ โดยเลือกเวลาส่งที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละแคมเปญการตลาด

สรุป
การแจ้งเตือนแบบพุช (Push Notification) เป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อความที่ตรงเป้าหมาย การแบ่งกลุ่ม Push Notification ช่วยให้บริษัทเพิ่มการมีส่วนร่วม กระตุ้นยอด Conversion และเพิ่ม ROI ของแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุชได้อย่างชัดเจน
EngageLab ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้า ลดการสูญเสียลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวผ่านบริการแคมเปญข้อความแจ้งเตือนแบบพุช คุณสามารถใช้ AppPush (ระบบส่งข้อความแจ้งเตือนผ่านแอป) ของ EngageLab เพื่อส่งข้อความต้อนรับผู้ใช้ใหม่ ส่งข้อความถึงผู้ใช้ที่ลังเลในการชำระเงิน หรือแนะนำสินค้าอื่นให้กับผู้ใช้ที่คำสั่งซื้อถูกยกเลิก
ในยุคที่การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ธุรกิจจำเป็นต้องสื่อสารแบบตรงเป้าหมายกับกลุ่มเป้าหมายของตน EngageLab พร้อมช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับธุรกิจของคุณ