การตลาดในยุคดิจิทัลได้พัฒนาไปอย่างมาก ทุกวันนี้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องใช้หลากหลายช่องทางการสื่อสาร เช่น การส่ง SMS เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง การเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมจะช่วยให้บริษัทของคุณสามารถขยายการเข้าถึง เพิ่มยอดขาย และสร้างผลกำไรได้สูงสุด
อัตราการเปิดอ่านของข้อความ SMS สูงถึง 98%
ดังนั้น การเข้าใจความแตกต่างระหว่างรหัสสั้นกับรหัสยาว (Short Code vs Long Code) จึงมีความสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถใช้การตลาดผ่าน SMS ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

รหัสสั้น (Short Code) หมายถึงอะไร?
ตามชื่อ รหัสสั้น (SMS Short Code) จะมีเพียง 5 หรือ 6 หลักเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ง่าย รหัสสั้นมีบทบาทสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ และช่วยให้ธุรกิจของคุณสร้างความประทับใจต่อกลุ่มเป้าหมายได้ในระยะยาว
รหัสสั้นมีความเร็วในการส่งสูงมาก (throughput หรืออัตราการส่งข้อความ) จึงมักถูกมองว่าเป็นช่องทางการสื่อสารและการตลาดผ่าน SMS ระดับพรีเมียม

รหัสสั้นกับรหัสยาว (Short Code vs Long Code) มีข้อดีหลายอย่าง เช่น มีอัตราการเปิดอ่านที่สูงขึ้น การมีส่วนร่วมที่มากขึ้น ความเร็วในการส่งที่เหนือกว่า รวมถึงความปลอดภัยและการขยายระบบที่ดีกว่า
หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของรหัส SMS โดยเฉพาะรหัสสั้น ข้อดีโดยละเอียด และตัวอย่างเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ คู่มือรหัสสั้นฉบับสมบูรณ์ของเรา
รหัสยาว (Long Code) หมายถึงอะไร?
รหัสยาว (Long Code) แตกต่างจากรหัสสั้นอย่างมาก เพราะโดยปกติจะมี 10 หลัก หมายเลขโทรศัพท์ Toll-free ก็ถือเป็นรหัสยาวเช่นกัน รหัสยาวสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์เสียง (voice) ได้ ใช้สำหรับโทรออกหรือรับข้อความแบบสองทาง (two-way texting หรือการส่งและรับข้อความได้ทั้งสองฝั่ง) ได้ด้วย
ผู้ให้บริการบางรายยังอนุญาตให้เปิดใช้งานข้อความบนหมายเลขโทรศัพท์บ้าน (landline) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ อย่างไรก็ตาม อัตราการส่ง (throughput หรืออัตราการส่งข้อความ) ของรหัสยาวจะต่ำกว่ารหัสสั้นมาก จึงไม่เหมาะกับการส่งข้อความจำนวนมากหรือแจ้งเตือนแบบ mass ไปยังกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่

ควรใช้รหัสยาวเมื่อไหร่?
- รหัสยาว 10 หลัก (10DLC) เหมาะสำหรับส่งแจ้งเตือน ส่ง notification หรือข้อความการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็ก
- หมายเลข Toll-free ก็เป็นรหัสยาวเช่นกัน เหมาะกับหน่วยงานรัฐหรือองค์กรที่ต้องการให้ประชาชนโทรติดต่อได้สะดวก โดยผู้รับสายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
- เมื่อคุณต้องการส่งข้อความการตลาดหรือข้อความยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA หรือ Two-Factor Authentication) ให้กับผู้ใช้
ประโยชน์ของรหัสยาว (Long Code) สำหรับ SMS
-
คุณสามารถเปิดใช้งานการส่งข้อความบนเบอร์โทรศัพท์พื้นฐานของธุรกิจที่มีอยู่ เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกทั้งการโทรหรือส่งข้อความถึงคุณ
-
รองรับทั้งบริการข้อความสั้น (SMS) และบริการข้อความมัลติมีเดีย (MMS)
-
รหัสยาว (Long Code) มีประโยชน์ในการสร้างช่องทางการสื่อสารที่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ
-
รหัสยาว (Long Code) ช่วยให้การสื่อสารมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพราะหมายเลข 10 หลักทำให้ข้อความดูเหมือนมาจากบุคคลจริง ไม่ใช่ AI Agent หรือระบบอัตโนมัติ
ข้อจำกัดของรหัสยาว (Long Code) สำหรับ SMS
แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่รหัสยาว (Long Code) ก็ยังมีข้อจำกัดที่ควรพิจารณาดังนี้:
-
การส่งข้อความช้ากว่า เนื่องจากอัตราการส่งข้อมูล (throughput) ต่ำกว่า
-
จำนวนหลักของรหัสยาวที่มากขึ้น ทำให้ลูกค้าจดจำได้ยากกว่า
-
รหัสยาว (Long Code) มักไม่เหมาะกับองค์กรที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่
หากธุรกิจของคุณเน้นการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล รหัสยาว (Long Code) จะตอบโจทย์มากกว่ารหัสสั้น (Short Code)
รหัสสั้นกับรหัสยาว Short Code vs Long Code: สรุปความแตกต่าง

เมื่อคุณเข้าใจภาพรวมของรหัสสั้นกับรหัสยาว (Short Code vs Long Code) แล้ว เรามาดูรายละเอียดสำคัญของหัวข้อนี้กันต่อ เพื่อสรุปความแตกต่างหลัก ๆ ของรหัสสั้นกับรหัสยาว ทั้งในแง่คุณสมบัติและการใช้งาน เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างครบถ้วน:
- คุณสมบัติ (Capabilities): รหัสยาว (Long Code) รองรับการส่งแฟกซ์และโทรศัพท์ได้ จึงทำได้มากกว่าการส่งข้อความธรรมดา ในขณะที่รหัสสั้น (Short Code) ใช้ได้แค่ส่งและรับข้อความเท่านั้น
- การลงทะเบียน (Registration): สามารถใช้รหัสยาว (Long Code) ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเพื่อส่งข้อความได้ แต่รหัสสั้น (Short Code) ต้องลงทะเบียนอย่างถูกต้องก่อนจึงจะส่งข้อความได้
- อัตราการส่งข้อมูล (Throughput): รหัสสั้น (Short Code) มีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงกว่า ส่งผลให้ความเร็วในการส่ง อัตราการส่งถึง และอัตราการเปิดอ่านสูงกว่า จึงเหมาะกับการตลาดผ่าน SMS ในวงกว้าง การส่งข้อมูลด่วน และความปลอดภัยที่มากกว่า
รหัสยาว vs รหัสสั้น: ควรเลือกแบบไหนดี?

การเลือกระหว่างรหัสยาวกับรหัสสั้น (Long Code vs Short Code) อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่หากคุณพิจารณาความต้องการและคุณสมบัติหลักของแต่ละแบบ ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกมีดังนี้:
1. ระบุวัตถุประสงค์ของแคมเปญของคุณให้ชัดเจน
ก่อนอื่น คุณควรมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแคมเปญที่ชัดเจน
หากคุณต้องการทำแคมเปญการตลาดขนาดใหญ่ คุณควรเลือกใช้ รหัสสั้น (Short Code) เพราะรองรับปริมาณการส่งข้อความได้สูงกว่า และยังสามารถสร้างหมายเลขที่จดจำง่ายให้กับลูกค้าได้ด้วยรหัสสั้น
ดังนั้น รหัสสั้นจึงเหมาะกับการทำโปรโมชั่น การสมัครสมาชิก และการสื่อสารที่มีความสำคัญและต้องการความรวดเร็ว
แต่หากคุณต้องการทำแคมเปญการตลาดขนาดเล็กสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก รหัสยาว (Long Code) จะเหมาะสมกว่า เพราะสามารถปรับแต่งข้อความให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้มากกว่า จึงช่วยสร้างผลลัพธ์สูงสุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

ที่มา: https://www.eztexting.com/
2. พิจารณาระดับของแคมเปญ
ระดับและขนาดของแคมเปญการตลาดมีผลต่อการเลือกประเภทของรหัส SMS
หากคุณวางแผนจะทำแคมเปญเฉพาะในพื้นที่หรือภายในประเทศ ควรเลือกใช้รหัสยาว
แต่ถ้าคุณมีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นและต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระดับสากล ควรเลือกใช้รหัสสั้น เพื่อรองรับการขยายตัวได้มากกว่า

3. กำหนดงบประมาณของคุณ
การกำหนดงบประมาณเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้รหัสยาวหรือรหัสสั้น
หากคุณมีธุรกิจขนาดเล็กและงบประมาณจำกัด รหัสยาวจะคุ้มค่ากว่าในการใช้งาน

ในทางกลับกัน หากคุณมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการตลาดผ่านข้อความ คุณสามารถลงทุนกับรหัสสั้นได้ ซึ่งมักต้องสมัครใช้งานแยกต่างหากและมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเติม
นี่คือเหตุผลที่รหัสสั้นเหมาะกับธุรกิจหรือองค์กรขนาดใหญ่ที่สามารถทำแคมเปญการตลาดในระดับใหญ่ได้
4. ปริมาณข้อความที่ต้องการส่ง
วิธีเลือกใช้รหัสสั้นหรือรหัสยาวอย่างรวดเร็ว คือดูจากปริมาณข้อความที่คาดว่าจะส่ง
หากคุณต้องการส่งข้อความจำนวนมากในแคมเปญ ควรเลือกใช้รหัสสั้นเพื่อรองรับปริมาณงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเป็นแคมเปญขนาดเล็กที่มีปริมาณข้อความไม่มาก สามารถเลือกใช้รหัสยาวได้

5. เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม
การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับส่งข้อความที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของแคมเปญการตลาดของคุณ
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกแพลตฟอร์มส่งข้อความ ได้แก่
- ใช้งานง่าย: แพลตฟอร์มที่เลือกควรมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสำหรับจัดการแคมเปญการตลาดผ่าน SMS
- ความหลากหลาย: ควรเลือกแพลตฟอร์มที่รองรับช่องทางการสื่อสารและการตลาดที่หลากหลาย รวมถึง SMS
- อัตราการส่งถึง: อัตราและความเร็วในการส่ง SMS มีผลต่อความสำเร็จของแคมเปญ ดังนั้นแพลตฟอร์มต้องรองรับการส่งถึงที่มีประสิทธิภาพสูง
- การติดตามผล: แพลตฟอร์มการตลาดและส่ง SMS ควรสามารถวิเคราะห์ผลลัพธ์ของข้อความที่ส่งได้
- รองรับระดับโลก: ปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่มีลูกค้าทั่วโลก จึงควรเลือกแพลตฟอร์มที่สามารถส่งข้อความถึงผู้ใช้ทั่วโลกได้
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ EngageLab คือแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าของคุณผ่าน SMS
EngageLab คือแพลตฟอร์มการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้คุณดำเนินแคมเปญการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลากหลายช่องทาง รวมถึง SMS ด้วย EngageLab เป็นโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับทั้งธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่ต้องการสร้าง ดำเนินการ และจัดการแคมเปญส่งข้อความ (SMS) ที่ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ ฟีเจอร์และกระบวนการทำงานที่น่าเชื่อถือของ EngageLab ยังช่วยให้การส่ง SMS ของคุณถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความการตลาด การแจ้งเตือนการยืนยันตัวตน หรือข้อความแจ้งเตือนประเภทต่าง ๆ ไปยังมากกว่า 200 ประเทศและเขตแดน

EngageLab มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ ช่วยให้คุณสามารถทำงานส่ง SMS Marketing ได้แบบอัตโนมัติ พร้อมมั่นใจว่าคุณจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อความที่น่าสนใจและตรงประเด็น ประสิทธิภาพการส่งข้อมูลที่สูงของ EngageLab ช่วยเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยที่ธุรกิจต้องการ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการตลาดผ่าน SMS
สรุป
สรุปแล้ว เมื่อพูดถึงการเปรียบเทียบระหว่างรหัสสั้นกับรหัสยาว (Short Code vs Long Code) จะมีความแตกต่างกันในด้านการใช้งาน ความสามารถ จำนวนหลักของรหัส ประสิทธิภาพการส่ง ความปลอดภัย และการนำไปใช้ในแคมเปญการตลาดโดยรวม
หากคุณวิเคราะห์ความต้องการของธุรกิจอย่างละเอียด จะสามารถเลือกใช้รหัสสั้นหรือรหัสยาวได้อย่างเหมาะสม ทางเลือกที่แนะนำที่สุดคือการใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้อย่าง EngageLab ซึ่งรองรับทั้งแคมเปญ SMS ขนาดเล็กและขนาดใหญ่
สมัครใช้งาน EngageLab เวอร์ชันทดลองฟรีวันนี้ เพื่อเริ่มต้นสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นด้วยกลยุทธ์การตลาดและ engagement ที่เชื่อถือได้