ไม่ว่าคุณจะเป็นแบรนด์ บริษัท เครื่องมือ หรือแอปพลิเคชันประเภทใดที่ส่งการแจ้งเตือนแบบพุช การติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการติดตามที่แม่นยำคือกุญแจสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุช และช่วยให้มั่นใจว่าข้อความของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจริง
เราจะมาทำความเข้าใจ ความหมายของการติดตามการแจ้งเตือน พร้อมทั้งแนะนำเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการติดตามเหล่านี้
Part 1: ภาพรวมของการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุช
ก่อนจะเจาะลึกเรื่องการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุช ขออธิบายพื้นฐานกันก่อน
Push Notification คืออะไร?
การแจ้งเตือนแบบพุช คือข้อความป๊อปอัพขนาดเล็กที่แอปหรือเว็บไซต์ใช้ส่งข้อมูลสำคัญถึงกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นช่องทางการตลาดและสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่เหมาะกับมือถือ เพราะผู้ใช้สามารถเห็นข้อความแจ้งเตือนได้จากหน้าจอล็อกของอุปกรณ์ แม้จะไม่ได้เปิดแอปอยู่ก็ตาม
ตัวอย่างการแจ้งเตือนแบบพุชบน iPhone:
ตัวอย่างถัดไปเป็นการแจ้งเตือนแบบพุชที่ดูสบาย ๆ และน่าสนใจจาก CNN บนอุปกรณ์ Android:
ข้อดีที่สำคัญของการแจ้งเตือนแบบพุชคือผู้ใช้จะเห็นได้แบบเรียลไทม์ ต่างจากช่องทางอื่นอย่างอีเมล แอปจึงสามารถคาดหวังการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ได้ทันทีผ่านการแจ้งเตือนแบบพุช
ความสำคัญของการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุช
หากคุณสงสัยว่าทำไมต้องติดตามการแจ้งเตือนแบบพุช คำตอบก็ง่ายมาก: การติดตามช่วยให้คุณประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดผ่านการแจ้งเตือนแบบพุชได้
เหตุผลสำคัญที่ควรนำการติดตามการแจ้งเตือนมาใช้ในกลยุทธ์สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า มีดังนี้:
- วัดผลการมีส่วนร่วม: เหตุผลหลักของการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชคือเพื่อวัดว่าผู้ใช้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณมากแค่ไหน
- ปรับปรุงแคมเปญ: เมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับการแจ้งเตือนแบบพุช เช่น อัตราการเปิดอ่านและอัตราการคลิก (CTR) คุณจะสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญได้
- รักษาผู้ใช้: การแจ้งเตือนแบบพุชมีบทบาทสำคัญในการดึงผู้ใช้ให้กลับมาใช้งานแอป โดยเตือนให้ผู้ใช้ระลึกถึงแอปที่ติดตั้งไว้ ส่งผลให้เกิดการเปิดใช้งานและเพิ่มอัตราการรักษาผู้ใช้
Part 2: ตัวชี้วัดสำคัญที่ควรติดตามสำหรับการแจ้งเตือนแบบพุช
คุณจะเข้าใจความสำคัญของการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากดูจากตัวชี้วัดหลักที่ควรติดตามเหล่านี้:
อัตราการส่ง (Delivery Rate): หมายถึงการที่การแจ้งเตือนแบบพุชสามารถส่งถึงกลุ่มเป้าหมายได้หรือไม่ โดยปกติจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
อัตราการส่ง = (จำนวนการแจ้งเตือนที่ส่งถึง / จำนวนการแจ้งเตือนที่ส่งทั้งหมด) × 100
อัตราการเปิดอ่าน (Open Rate): วัดจำนวนผู้ใช้ที่แตะการแจ้งเตือนแบบพุชเพื่อเปิดแอป
อัตราการเปิดอ่าน = (จำนวนการเปิด / จำนวนการแจ้งเตือนที่ส่งถึง) × 100
อัตราการคลิก (Click-Through Rate, CTR): ติดตามเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ทั้งเปิดการแจ้งเตือนและดำเนินการตามที่ต้องการ เช่น คลิกปุ่ม CTA หรือคลิกลิงก์
อัตราการคลิก (CTR) = (จำนวนคลิก / จำนวนการแจ้งเตือนที่ส่งถึง) × 100%
อัตราการแปลง (Conversion Rate): วัดเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ดำเนินการตามเป้าหมาย (เช่น ซื้อสินค้า) หลังจากเปิดการแจ้งเตือน
อัตราการแปลง = (จำนวนการแปลง / จำนวนคลิก) × 100%
อัตราการยกเลิก (Unsubscribe Rate): เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่เลือกยกเลิกการรับการแจ้งเตือนแบบพุช
อัตราการยกเลิก = (จำนวนการยกเลิก / จำนวนผู้สมัครทั้งหมด) × 100%
เวลาที่ใช้เปิด (Time to Open): ใช้ติดตามว่าผู้ใช้เปิดการแจ้งเตือนแบบพุชหลังได้รับเร็วแค่ไหน
เวลาที่ใช้เปิด = (ผลรวมของ (เวลาที่เปิด - เวลาที่ส่ง)) / จำนวนครั้งที่เปิด × 100%
ตอนนี้คุณได้ทราบเกี่ยวกับ ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมที่สำคัญ สำหรับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชแล้ว มาดูกันว่าคุณสามารถดำเนินการได้อย่างไรด้วยเครื่องมือที่แตกต่างกัน
Part 3. เครื่องมือสำหรับติดตามการแจ้งเตือนแบบพุช
เครื่องมือสำหรับติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ มาดูรายละเอียดแต่ละประเภทกัน:
1. ระบบวิเคราะห์ในตัว
Firebase Cloud Messaging (FCM) และ Apple Push Notification Service (APNs) เป็นสองบริการยอดนิยมสำหรับการส่งการแจ้งเตือนแบบพุชไปยังอุปกรณ์ Android และ iOS โดยทั้งสองมีเครื่องมือวิเคราะห์ในตัวเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การติดตามการแจ้งเตือนของคุณ
🔍 การวิเคราะห์ของ Firebase Cloud Messaging (FCM)
FCM คือบริการการแจ้งเตือนแบบพุชอย่างเป็นทางการของ Google คุณสามารถใช้เพื่อส่งการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น iOS, Android หรือแอปพลิเคชันบนเว็บ จุดเด่นของ FCM คือการผสานกับ Google Analytics ที่ช่วยให้คุณติดตามและวัดผลการแจ้งเตือนแบบพุชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา:static
ตัวชี้วัดสำคัญที่คุณสามารถวัดผลได้ด้วย FCM analytics ได้แก่:
- สถานะการส่ง ใช้เพื่อตรวจสอบว่าการแจ้งเตือนถูกส่งสำเร็จหรือไม่
- ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วม เพื่อวัด retention ของผู้ใช้และการกระทำเฉพาะภายในแอป
- อัตราการแปลง เพื่อตรวจสอบว่ากลุ่มเป้าหมายดำเนินการตามที่ต้องการหลังคลิกการแจ้งเตือนแบบพุชหรือไม่
- FCM ยังรองรับการทดสอบ A/B เพื่อช่วยให้คุณทดลองรูปแบบการแจ้งเตือนแบบพุชที่แตกต่างและปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
🔍 การวิเคราะห์ของ Apple Push Notification Service (APNs)
Apple Push Notification Service (APNs) ไม่มีระบบวิเคราะห์ขั้นสูงเหมือน FCM โดยจะให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งการแจ้งเตือน และแนะนำให้เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มหรือบริการของบุคคลที่สามเพื่อดูข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม
ที่มา: https://developer.apple.com
ข้อมูลที่สามารถดูได้จากแดชบอร์ดในตัวของ APNs เช่น:
- ข้อเสนอแนะการส่ง เพื่อดูว่าสามารถส่งการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์เป้าหมายได้หรือไม่
- บันทึกการแจ้งเตือนแบบพุชที่มีข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับเวลาที่ส่งแต่ละครั้ง
- การติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชแบบกำหนดเองด้วยเครื่องมือบุคคลที่สาม เช่น Firebase
โดยรวมแล้ว แพลตฟอร์มการแจ้งเตือนแบบพุชในตัวเหล่านี้ยังไม่มีระบบวิเคราะห์ที่ล้ำหน้าเท่ากับเครื่องมือของบุคคลที่สาม
2. เครื่องมือวิเคราะห์การแจ้งเตือนแบบพุชยอดนิยม
2.2.1 EngageLab
EngageLab คือแพลตฟอร์มสำหรับสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า รองรับหลากหลายช่องทางรวมถึงการแจ้งเตือนแบบพุชบนแอปและเว็บ ช่วยให้ผสานการใช้งานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยเทคโนโลยีที่ทรงพลัง สนับสนุนการตั้งค่าแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุชอัตโนมัติ
นอกจากนี้ EngageLab ยังรองรับการส่งการแจ้งเตือนแบบพุชได้หลากหลายประเภท เช่น ข้อความล้วน หรือข้อความพร้อมรูปภาพ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น ที่สำคัญคือมีฟีเจอร์วิเคราะห์เชิงลึก เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุช และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
| ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|
| จัดการแคมเปญสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบหลายช่องทางได้จากแดชบอร์ดเดียว | ขั้นตอนเริ่มต้นในการตั้งค่าแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุชอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้เริ่มต้น |
| อัตราการส่งถึงสูงและรวดเร็ว ช่วยเพิ่มอัตราการแปลง | |
| มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบถ้วน | |
| สามารถส่งออกรายงานวิเคราะห์ข้อมูลแบบละเอียดได้ | |
| มีรูปแบบราคาให้เลือกอย่างยืดหยุ่น จ่ายเฉพาะสิ่งที่ใช้ เช่น จำนวนการแจ้งเตือนแบบพุชที่ต้องการส่งต่อเดือน |
2.2.2 OneSignal
OneSignal เป็นหนึ่งในชื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการสร้างความผูกพันกับลูกค้าและการแจ้งเตือนแบบพุช โดยมีระบบติดตามและวิเคราะห์การมีส่วนร่วมที่ครบถ้วน พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการแจ้งเตือนแบบพุช
| ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|
| แอปติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชที่เชื่อถือได้ ให้รายงานครบถ้วนทั้งอัตราการส่ง อัตราการแปลง และอัตราการมีส่วนร่วม | แผนใช้งานฟรีมีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะเรื่องการติดตามการแจ้งเตือนและการวิเคราะห์ขั้นสูง |
| รองรับการทดสอบ A/B ช่วยให้ปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุช | ต้องเชื่อมต่อกับบริการภายนอกสำหรับการติดตามเชิงลึก เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ |
| ตั้งเวลาและส่งการแจ้งเตือนแบบพุชอัตโนมัติได้ | |
| ผสานรวมกับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชบน iOS, Android และเว็บได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย |
2.2.3 PushEngage
PushEngage คือแพลตฟอร์มการแจ้งเตือนแบบพุชที่ใช้งานง่ายแต่ทรงพลัง ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความผูกพันและรักษาฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ รองรับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้ง Android, iOS และเว็บเบราว์เซอร์
การวิเคราะห์ขั้นสูง แคมเปญ drip อัตโนมัติ และการทดสอบ A/B เป็นฟีเจอร์เด่นของ PushEngage ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการแจ้งเตือนแบบพุชได้อย่างยอดเยี่ยม
| ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|
| ผสานรวมกับเว็บไซต์และแอปได้อย่างรวดเร็วและง่าย | การวิเคราะห์ข้อมูลมีข้อจำกัดในแผนฟรี |
| มีข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้ขั้นสูงสำหรับติดตามตัวชี้วัดการมีส่วนร่วม | PushEngage เน้นการแจ้งเตือนแบบพุชบนเว็บไซต์เป็นหลัก อาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการแจ้งเตือนแบบพุชบนมือถือได้จำกัด |
| รองรับเบราว์เซอร์หลักทั้งหมดสำหรับการแจ้งเตือนแบบพุชบนเว็บไซต์ เช่น Safari, Edge, Chrome และ Firefox |
3. การวิเคราะห์ข้อมูลแบบกำหนดเอง (Custom Analytics)
เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลในตัว เช่น FCM หรือเครื่องมือจากภายนอกอย่าง EngageLab มักเพียงพอสำหรับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม สำหรับบางบริษัท โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ หรือผู้ใช้ที่มีความต้องการซับซ้อน อาจต้องการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชในรูปแบบที่ปรับแต่งเองเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจเฉพาะ
ในกรณีเช่นนี้ ควรเลือกใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบกำหนดเอง (Custom Analytics) เพื่อวัดผลการแจ้งเตือนแบบพุช การสร้างระบบวิเคราะห์แบบกำหนดเองนี้มีหลายขั้นตอนหลัก ได้แก่:
- ขอรับ API จากแพลตฟอร์มการแจ้งเตือนแบบพุชของคุณ เพื่อนำข้อมูลตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการส่งถึง (delivery rate) และข้อมูลการมีส่วนร่วม (engagement data) ออกมาใช้งาน
- ตั้งค่า UTM parameters ในการแจ้งเตือนแบบพุช และเชื่อมต่อกับ Google Analytics เพื่อวัดปริมาณทราฟฟิกและการแปลงที่เกิดจากการแจ้งเตือนแบบพุช
- ใช้บริการจัดเก็บข้อมูล เช่น AWS Redshift หรือ Google BigQuery เพื่อเก็บข้อมูลที่ได้
โดยรวมแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลแบบกำหนดเองจะช่วยยกระดับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชให้ละเอียดและเจาะลึกยิ่งขึ้น ตอบโจทย์เชิงธุรกิจได้อย่างตรงจุด
Part 4: วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนแบบพุช — ความท้าทายที่พบบ่อย & แนวทางแก้ไข
การทำแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุชให้ประสบความสำเร็จ ต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายประการ มาดูปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไขสำหรับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชกัน
ปัญหาที่ 1: อัตราการเปิดอ่านต่ำ
อัตราการเปิดอ่าน (open rate) ของการแจ้งเตือนแบบพุชต่ำเป็นสิ่งที่แอปฯ เกือบทุกประเภทต้องเจอ ผู้ใช้จำนวนมากมักเพียงแค่เหลือบดูการแจ้งเตือนจากแถบ notification โดยไม่เปิดอ่านจริง
✅แนวทางแก้ไข
วิธีเดียวที่จะเพิ่มอัตราการเปิดอ่าน คือการทดลองปรับเปลี่ยนเนื้อหาของการแจ้งเตือนแบบพุชให้หลากหลายและโดดเด่นมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกเปิดอ่านทันที
อ่านเพิ่มเติมจาก EngageLab:คู่มือกลยุทธ์การตลาดผ่านการแจ้งเตือนแบบพุชฉบับสมบูรณ์ →
ปัญหาที่ 2: ส่งแจ้งเตือนไม่ถึงผู้ใช้
การส่งการแจ้งเตือนแบบพุชให้ถึงมือผู้ใช้จริง ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มที่เลือกใช้ หากเลือกบริการที่ไม่เหมาะสม มีโอกาสสูงที่จะเจอปัญหาส่งไม่ถึง อีกทั้งการตั้งค่าบางอย่างในอุปกรณ์ของผู้ใช้เป้าหมายเองก็อาจเป็นสาเหตุให้ไม่ได้รับการแจ้งเตือน
✅แนวทางแก้ไข
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ในการส่งการแจ้งเตือนแบบพุช เพื่อให้ผู้ใช้ตั้งค่าอุปกรณ์ให้รับการแจ้งเตือนได้อย่างรวดเร็ว และเลือกบริการการแจ้งเตือนแบบพุชที่เชื่อถือได้ มีอัตราการส่งถึงสูง
อ่านเพิ่มเติมจาก EngageLab:กลยุทธ์เพิ่มการมีส่วนร่วมในแอปฯ ด้วยการแจ้งเตือนแบบพุช →
ปัญหาที่ 3: เลือกเครื่องมือวิเคราะห์การแจ้งเตือนแบบพุชไม่ถูกต้อง
ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มและบริการมากมายที่รับรองว่าสามารถส่งและวิเคราะห์การแจ้งเตือนแบบพุชได้ แต่ละแพลตฟอร์มมีฟีเจอร์คล้ายกัน จึงอาจทำให้เลือกใช้งานได้ยาก
✅แนวทางแก้ไข
ในการเลือกแพลตฟอร์มวิเคราะห์การแจ้งเตือนแบบพุชที่เหมาะสม ควรเริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการและตัวชี้วัดที่ต้องการจากแพลตฟอร์มนั้น ๆ รวมถึงพิจารณางบประมาณเพื่อให้ได้โซลูชันที่เหมาะสมกับธุรกิจ
อ่านเพิ่มเติมจาก EngageLab:กลยุทธ์และเครื่องมือสำคัญสำหรับการเพิ่มผู้ใช้แอปฯ →
Part 5: คู่มือสร้างการแจ้งเตือนแบบพุชที่เปลี่ยนเป็นยอดขาย ด้วย EngageLab
ด้วยความซับซ้อนของการตั้งค่าการแจ้งเตือนแบบพุชในแต่ละแพลตฟอร์ม EngageLab จึงเป็นทางเลือกที่ใช้งานง่ายและคุ้มค่าที่สุดสำหรับการสร้างและส่งการแจ้งเตือนแบบพุช ฟีเจอร์ที่มีประสิทธิภาพของ EngageLab ช่วยให้ทั้งการแจ้งเตือนแบบพุชบนเว็บและแอปฯ ของคุณมีอัตราการส่งถึงสูง ส่งผลให้มีอัตราการเปิดอ่านและการแปลง (conversion) สูงขึ้น
ฟีเจอร์สำคัญที่ทำให้ EngageLab เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับการส่งการแจ้งเตือนแบบพุช ได้แก่:
- โครงสร้างพื้นฐาน IT ที่ทรงพลัง รับประกันอัตราการส่งถึงสูง
- รองรับการแจ้งเตือนแบบพุชหลากหลายรูปแบบ
- ระบุและกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อเพิ่มโอกาสเปลี่ยนผู้ใช้เป็นลูกค้า
- ฟีเจอร์วิเคราะห์และติดตามผลการแจ้งเตือนแบบครบถ้วน มองเห็นประสิทธิภาพแคมเปญได้ชัดเจน
คู่มือทีละขั้นตอนสำหรับการติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชด้วย EngageLab
การติดตามการแจ้งเตือนแบบพุชกับ EngageLab เริ่มจากการตั้งค่าแคมเปญในระบบและส่งการแจ้งเตือนแบบพุช
- ขั้นตอนที่ 1: สร้างบัญชี
ไปที่เว็บไซต์ EngageLab เพื่อสมัครบัญชี เมื่อสมัครเสร็จแล้ว เข้าสู่ระบบและคลิก "New Application" เพื่อสร้างแอปพลิเคชันใหม่ - ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าการเชื่อมต่อ
กำหนดค่าแอปพลิเคชัน เลือกแพลตฟอร์ม (iOS, Android หรือ Web) และเลือกช่องทางที่จะใช้งาน - ขั้นตอนที่ 3: ส่งการแจ้งเตือนแบบทดสอบ
หลังตั้งค่าเสร็จ ให้ไปที่ "Create a push" ในแดชบอร์ดเพื่อสร้างการแจ้งเตือนแบบพุชทดสอบ กรอกข้อความ เลือกอุปกรณ์ทดสอบ และเปิดการติดตามผลก่อนส่ง - ขั้นตอนที่ 4: วิเคราะห์ผลลัพธ์
หลังจากส่งสำเร็จ สามารถดูผลการติดตามแบบเรียลไทม์ได้ที่แผง "Push Statistics" ซึ่งแสดงตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการส่งถึง อัตราการเปิดอ่าน และข้อมูลเชิงลึกด้านภูมิศาสตร์ของผู้ใช้
นอกจากตัวชี้วัดพื้นฐาน EngageLab ยังมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการแจ้งเตือนแบบพุชอีกมากมาย เช่น:
- Push Target: จำนวนผู้ใช้ที่ตรงตามเงื่อนไขการส่งการแจ้งเตือนแบบพุช
- Open Rate / จำนวนคลิก: จำนวนครั้งที่ผู้ใช้เปิดแอปผ่านการคลิกแจ้งเตือน
- New User: ตรวจสอบว่ามีผู้ใช้ใหม่สมัครรับการแจ้งเตือนในแอปของคุณหรือไม่
- Active Users: จำนวนผู้ใช้ที่เปิดแอปอย่างน้อยวันละครั้ง
- User Open Times: จำนวนครั้งรวมที่ผู้ใช้ทั้งหมดเปิดแอป
- Average Usage Duration: ระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้ในแอป
หากต้องการปรับแต่งเพิ่มเติม สามารถใช้ฟีเจอร์ A/B testing เพื่อสร้างเวอร์ชันการแจ้งเตือนแบบพุชที่แตกต่างกัน และระบบจะคำนวณประสิทธิภาพของแต่ละเวอร์ชันให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้คุณเลือกแนวทางที่ดีที่สุด
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาวิธีสร้างแคมเปญการแจ้งเตือนแบบพุชที่เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า พร้อมระบบติดตามผลที่ครบถ้วน ขอแนะนำให้ลองใช้ EngageLab
คำถามที่พบบ่อย
-
1
ทำไมการแจ้งเตือนแบบพุชถึงถูกส่งถึงแล้วแต่ผู้ใช้ไม่เปิดอ่าน?
ในเชิงเทคนิค ระบบแจ้งเตือนแบบพุชของ iOS ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว โดย iOS จะนับสถานะ “ส่งถึงแล้ว” เมื่อการแจ้งเตือนถึงเซิร์ฟเวอร์ของ Apple ไม่ใช่เมื่อผู้ใช้เปิดอ่านจริง ส่วน Android จะติดตามสถานะการส่งถึงได้แม่นยำและน่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลจากหลังบ้าน EngageLab พบว่าอัตราการเปิดอ่านอาจลดลงถึง 40% หากส่งแจ้งเตือนนอกช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มตอบสนองสูง (โดยทั่วไปคือ 10.00-14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น) ฟีเจอร์ Smart Delivery ของ EngageLab จะช่วยปรับเวลาส่งโดยอัตโนมัติ ตามพฤติกรรมการตอบสนองของแต่ละผู้ใช้ในอดีต ช่วยเพิ่มอัตราการเปิดอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ -
2
การติดตามผลของ EngageLab เทียบกับ Google Firebase เป็นอย่างไร?
EngageLab วิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ภายใน 15 วินาที (Firebase มีดีเลย์ 1-3 ชั่วโมง), มีระบบวัดผลการแปลงแบบเนทีฟ (ไม่ต้องเชื่อมต่อ BigQuery) และมีอัตราการส่งถึงข้ามแพลตฟอร์มสูง (iOS สูงสุด 82%+, Android 95%+) EngageLab เหมาะกับการส่งข้อความปริมาณมาก (มากกว่า 1 ล้านข้อความ/เดือน) รองรับช่องทางสำรอง เช่น SMS/อีเมล และมี IP เฉพาะ ช่วยเลี่ยงข้อจำกัดของทราฟฟิกร่วม







