การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกค้าเป้าหมายคือกุญแจสำคัญในการเพิ่ม Conversion ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชมหน้าเว็บไซต์ การละทิ้งตะกร้าสินค้า หรือกิจกรรมพิเศษ การติดต่อในเวลาที่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า และเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้
และนี่คือจุดที่ Trigger Marketing หรือทริกเกอร์มาร์เก็ตติ้งเข้ามามีบทบาท เพราะช่วยให้คุณสื่อสารกับลูกค้าโดยอัตโนมัติตามการกระทำ การมีส่วนร่วม เหตุการณ์ หรือพฤติกรรมของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล ส่งข้อความ หรือการแจ้งเตือนแบบพุชอัตโนมัติ ช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดของการตลาดแบบดั้งเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาทำความเข้าใจรายละเอียดของ Trigger Marketing กัน การเข้าใจถึงความจำเป็น จุดประสงค์ ประเภทที่พบบ่อย และรายละเอียดสำคัญอื่น ๆ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณบรรลุเป้าหมายได้โดยใช้ความพยายามน้อยที่สุด ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทั้งพื้นฐานและวิธีสร้างแคมเปญ Trigger Marketing ที่มีประสิทธิภาพแบบทีละขั้นตอน

ส่วนที่ 1: Trigger Marketing คืออะไร?
Trigger Marketing หรือทริกเกอร์มาร์เก็ตติ้ง หมายถึง กลยุทธ์หรือวิธีการทางการตลาดที่ถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติตามการกระทำ พฤติกรรม การมีส่วนร่วม หรือเหตุการณ์พิเศษของลูกค้า
เมื่อเกิดเหตุการณ์หรือทริกเกอร์ขึ้น ระบบจะส่งอีเมลอัตโนมัติ ส่งข้อความ หรือการแจ้งเตือนแบบพุชผ่านแอปไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าเพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ละทิ้งไว้ Trigger Marketing สามารถตั้งค่าให้ส่งอีเมลเตือนอัตโนมัติหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาทำการสั่งซื้อ
โปรดทราบว่า ทริกเกอร์อาจเป็นอะไรก็ได้ เช่น การคลิกปุ่ม การมีส่วนร่วมกับ chatbot กิจกรรมพิเศษ (เช่น Cyber Monday หรือคริสต์มาส) วันเกิดของลูกค้า การยืนยันการสั่งซื้อ ฯลฯ นักการตลาดสามารถตั้งค่า Trigger และทำให้การสื่อสารกับลูกค้าเป็นแบบอัตโนมัติได้

มือใหม่มักสับสนระหว่าง Trigger Marketing กับ Drip Marketing แต่ทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
Drip Marketing ไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์หรือการกระทำเฉพาะใด ๆ โดยจะเป็นการส่งอีเมลหรือข้อความที่เขียนไว้ล่วงหน้าไปยังกลุ่มเป้าหมายตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ เช่น หากคุณต้องการส่งอีเมลส่งเสริมการขายหลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ นี่คือ Drip Marketing
ในทางตรงกันข้าม Trigger Marketing ไม่มีเวลาหรือช่วงเวลาที่ตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำ เหตุการณ์ หรือการมีส่วนร่วมของลูกค้า
ส่วนที่ 2: ทำไมและเมื่อไหร่ควรใช้ Trigger Marketing?
การเข้าใจว่าเมื่อไหร่และทำไมจึงควรใช้ Trigger Marketing จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้
# ทำไม Trigger Marketing ถึงสำคัญ?
สมมติว่าผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้สั่งซื้อสินค้าแล้ว เพื่อเปลี่ยนลูกค้ารายนี้ให้กลายเป็นลูกค้าประจำและสร้าง Brand Loyalty คุณสามารถส่งอีเมลหรือ SMS พร้อมข้อเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งถัดไป สิ่งนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มยอดขายของคุณในที่สุด
หากต้องทำสิ่งนี้ด้วยตนเองสำหรับลูกค้าทุกคนจะใช้เวลามาก และหากต้องทำซ้ำ ๆ กับลูกค้าหลายร้อยรายก็จะไม่มีประสิทธิภาพ Trigger Marketing สามารถทำงานนี้แทนคุณได้โดยอัตโนมัติ เช่น ตั้ง Trigger เมื่อมีการสั่งซื้อสำเร็จ แล้วส่งส่วนลด 5-10% ตามมูลค่าการสั่งซื้อ
Trigger Marketing ไม่ได้จำกัดแค่หลังการซื้อเท่านั้น แต่ยังตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ในทุกช่วง ตั้งแต่การสมัครสมาชิกจนถึงการกระตุ้นให้กลับมาใช้งานอีกครั้ง สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรม เหตุการณ์สำคัญ และจุดสำคัญตลอดเส้นทางลูกค้า การส่งข้อความที่ตรงเวลาและเกี่ยวข้องช่วยเพิ่ม Engagement ยกระดับ Conversion และช่วยให้คุณมีเวลาวางแผนกลยุทธ์อื่น ๆ มากขึ้น
ข้อดีอีกอย่างของ Trigger Marketing คือความแม่นยำ แทนที่จะส่งข้อความแบบจำนวนมากไปยังทุกคนในรายชื่อ คุณสามารถตั้งเงื่อนไขเฉพาะเพื่อส่งข้อความไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีโดยใช้ความพยายามน้อยที่สุด
ด้วยการปรับแต่งเฉพาะบุคคลในตัว ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในเวลาที่เหมาะสม และเพราะมีการปรับแต่งเฉพาะบุคคล Engagement จึงสูงขึ้น สามารถแก้ Pain Point ของลูกค้าและช่วยเพิ่ม Conversion รวมถึงประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น
# เมื่อไหร่ควรใช้ Trigger Based Marketing?
Trigger Based Marketing สามารถใช้ได้ทุกครั้งที่คุณต้องการมีส่วนร่วมกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายหลังจากเกิด Trigger ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ใด ๆ ต่อไปนี้คือตัวอย่างสถานการณ์ที่นิยมใช้ Trigger Marketing
- ผู้ใช้ใหม่: เมื่อมีผู้ใช้ใหม่เข้ามาบนแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครสมาชิกใหม่ ผู้เปิดบัญชีใหม่ หรือกลายเป็นลูกค้าใหม่ ธุรกิจมักจะส่งอีเมลต้อนรับหรือส่ง SMS ต้อนรับเพื่อสร้างความประทับใจแรกเริ่ม
- ละทิ้งตะกร้าสินค้า: ธุรกิจจะส่งข้อความเตือนแบบนุ่มนวลให้ลูกค้ากลับมาดำเนินการสั่งซื้อให้เสร็จสิ้น พร้อมสอบถามว่ามีปัญหาใด ๆ หรือไม่
- หลังการสั่งซื้อ: หลังจากลูกค้าทำการสั่งซื้อแล้ว จะมีการส่งอีเมลหรือ SMS ยืนยันการซื้อให้ลูกค้า และเพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ธุรกิจอาจมอบส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งถัดไปด้วย
- บัญชีไม่มีการใช้งาน: คุณอาจเคยได้รับอีเมลจากแพลตฟอร์ม SaaS เนื่องจากบัญชีที่ไม่มีการใช้งาน ซึ่งเป็นอีเมลที่ตั้งค่าไว้ตาม Trigger Marketing เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาใช้งานบัญชีที่ไม่ได้ใช้งาน
- การกระทำหรือพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมาย: หลังจากที่ผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าดำเนินการบางอย่าง เช่น คลิกปุ่มหรือกรอกฟอร์ม ระบบจะส่งอีเมลผ่าน Trigger Marketing ไปหาคุณ หรืออาจตั้งค่าให้ส่งเมื่อผู้ใช้งานเข้าเยี่ยมชมหน้าสินค้าเดิมซ้ำ ๆ โดยยังไม่เกิด Conversion
- วันสำคัญของลูกค้า: ธุรกิจนิยมส่งอีเมลหรือ SMS ให้ลูกค้าในวันสำคัญ เช่น วันเกิด วันครบรอบ วันสงกรานต์ หรือวันลอยกระทง ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าชื่นชอบและสามารถทำได้ด้วย Trigger Marketing
- ขอความคิดเห็นหลังการซื้อ: หลังจากลูกค้าซื้อสินค้าแล้ว ธุรกิจสามารถส่งอีเมลขอความคิดเห็นหรือคำรีวิวจากลูกค้าโดยใช้ Trigger Marketing ได้เช่นกัน
ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งานทริกเกอร์มาร์เก็ตติ้ง (Trigger Marketing) จริง ๆ แล้วยังมีอีกมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการตลาดและเพิ่ม Conversion ได้อย่างไม่จำกัด
ส่วนที่ 3: ประเภทของ Trigger Marketing ที่พบบ่อย
Trigger Marketing มักแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
1. ทริกเกอร์จากเหตุการณ์ (Event-based Triggers)
ทริกเกอร์ประเภทนี้จะถูกตั้งค่าให้ทำงานในช่วงอีเวนต์หรือวันสำคัญต่าง ๆ เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติ เช่น อีเมล, SMS หรือ Push Notifications
นักการตลาดสามารถตั้งค่า Trigger Marketing สำหรับโอกาสพิเศษ เช่น Black Friday, คริสต์มาส, วันแม่, วันสงกรานต์, วันลอยกระทง หรืออีเวนต์เฉพาะของแบรนด์ โดยธุรกิจอาจส่งโปรโมชั่น คูปอง หรือคอลเลกชันสินค้าให้เหมาะกับแต่ละโอกาส
เมื่อกำหนดไว้แล้ว แคมเปญจะทำงานอัตโนมัติเมื่อถึงช่วงอีเวนต์ ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อด้วยดีลที่ตรงเวลา อย่าพลาดโอกาสนี้!
ตัวอย่าง
🛍️ Black Friday มาแล้ว! รับส่วนลดสูงสุด 50% เฉพาะวันนี้เท่านั้น รีบคว้าดีลพิเศษนี้ก่อนหมดเวลา!
2. ทริกเกอร์จากการมีส่วนร่วม (Engagement-based Triggers)
ทริกเกอร์ประเภทนี้จะอ้างอิงจากกิจกรรมหรือการไม่มีกิจกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม
เช่น หากผู้ใช้ไม่ได้ล็อกอินหรือไม่ได้สั่งซื้อสินค้านาน 6 เดือน ระบบจะส่งข้อความอัตโนมัติเพื่อกระตุ้นให้กลับมาใช้งาน
นักการตลาดสามารถกำหนดช่วงเวลาที่ไม่มีการใช้งาน แล้วปล่อยให้ระบบดูแลต่อโดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก
อีกกรณีที่พบบ่อยคือการส่งข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อสินค้าช่วงหลัง ๆ เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ
ตัวอย่าง
👋 คิดถึงคุณจัง! ไม่ได้แวะมาเยี่ยมชมร้านเรานานแล้ว รับส่วนลด 10% สำหรับออเดอร์ถัดไป เพียงแค่กลับมาเท่านั้น รีบใช้สิทธิ์ก่อนหมดอายุ!
3. ทริกเกอร์จากพฤติกรรมผู้ใช้ (Behavior-based Triggers)
ทริกเกอร์นี้ตอบสนองต่อพฤติกรรมเฉพาะของผู้ใช้ เช่น การเข้าชมสินค้าซ้ำ ๆ การกรอกฟอร์ม การลงทะเบียน หรือการละทิ้งตะกร้าสินค้า
ตัวอย่างเช่น หากผู้เข้าชมดูสินค้าชิ้นเดิมหลายครั้ง สามารถส่งข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อได้
ทำงานคล้ายผู้ช่วยขายออนไลน์ คอยดูแลและเสนอข้อเสนอให้ลูกค้าในช่วงที่มีความสนใจสูง
ตัวอย่าง
ยังลังเลกับ [ชื่อสินค้า] อยู่ใช่ไหม? รับส่วนลด 15% เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น อย่าพลาดโอกาสดี ๆ นี้!
4. ทริกเกอร์จากอารมณ์ความรู้สึก (Emotional Triggers)
Emotional Triggers มุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าด้วยการสื่อสารที่มีความเป็นส่วนตัว
ในโอกาสพิเศษ เช่น วันครบรอบแบรนด์ หรือเมื่อถึงจุดสำคัญของความภักดี ธุรกิจสามารถส่งข้อความที่จริงใจพร้อมรางวัลพิเศษให้ลูกค้า เช่น ข้อความขอบคุณหรือของขวัญเล็ก ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในแบบไทย ๆ
หรือสร้างความเร่งด่วนด้วยข้อเสนอจำกัดเวลาเพื่อกระตุ้น FOMO (Fear of Missing Out) และผลักดันให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น
การส่งข้อความที่สะท้อนประวัติหรือความชอบของลูกค้า จะช่วยเพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการและสร้างความภักดีในระยะยาว
ตัวอย่าง
🎉 คุณอยู่กับเรามาครบ 1 ปีแล้ว! ขอขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางของเรา รับของขวัญสุดพิเศษนี้สำหรับคุณโดยเฉพาะ
ส่วนที่ 4: วิธีสร้างแคมเปญ Trigger Marketing ด้วย EngageLab
EngageLab คือแพลตฟอร์ม customer engagement แบบ all-in-one และ omni-channel ที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับผู้ใช้ผ่าน อีเมล, SMS, WhatsApp, App Push, Web Push และช่องทางอื่น ๆ
EngageLab มี Marketing Automation ที่ช่วยให้การเดินทางของลูกค้าทั้งหมดเป็นอัตโนมัติ ตั้งแต่การดึงดูดลูกค้า การกระตุ้นความสนใจ การรักษาความสัมพันธ์ ไปจนถึงการเปลี่ยนเป็นลูกค้าประจำ ด้วย Trigger Marketing ในตัว EngageLab ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ใช้ที่เหมาะสมในเวลาที่ใช่ พร้อมรันแคมเปญอัตโนมัติในวงกว้างโดยใช้ความพยายามน้อยที่สุด
นี่คือสิ่งที่ EngageLab มอบให้คุณ:
- ผสานแคมเปญแบบ Trigger Marketing (trigger-based) และแบบกำหนดเวลาล่วงหน้า เพื่อเข้าถึงผู้ใช้ในเวลาที่เหมาะสมและเพิ่ม Conversion
- ส่งข้อความส่วนบุคคลแบบอัตโนมัติผ่านหลายช่องทาง เช่น อีเมล, SMS, WhatsApp, Web Push, App Push
- มองเห็นเส้นทางการเดินทางของผู้ใช้ (user journey) และติดตาม engagement, เป้าหมาย และรายได้แบบเรียลไทม์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
- ตั้งค่า trigger ได้อย่างยืดหยุ่น ทั้งแบบ custom, มาตรฐาน หรือ event ที่แนะนำ ให้สอดคล้องกับความต้องการธุรกิจของคุณ
# วิธีใช้ Marketing Automation ใน EngageLab
ขั้นตอนที่ 1: ธุรกิจควรเริ่มจากการวางแผนข้อมูล (Data Demand Planning) กำหนดข้อมูลที่ต้องใช้ และตั้งค่า event ใน Event Management โดยเลือก event มาตรฐานหรือ event ที่แนะนำ

ขั้นตอนที่ 2: สร้าง user ID ใน User Management และเชื่อมโยงข้อมูลผู้ใช้ เพื่อให้สามารถส่งข้อความได้อย่างถูกต้องและแม่นยำในทุกช่องทาง

ขั้นตอนที่ 3: รวบรวมข้อมูล event จาก web, app หรือ API และจัดการ attribute ของ event ตามต้องการ

ขั้นตอนที่ 4: เลือกช่องทาง engagement (อีเมล, SMS, WhatsApp ฯลฯ) และตั้งค่าการใช้งาน EngageLab รองรับการตั้งค่าหลายช่องทางพร้อมกัน

ขั้นตอนที่ 5: สร้าง user journey โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย, trigger, ข้อความ และเงื่อนไขการออกจากแคมเปญ

ขั้นตอนที่ 6: ใช้ dashboard แบบเรียลไทม์เพื่อติดตาม Conversion และปรับกลยุทธ์ตามพฤติกรรมผู้ใช้

ส่วนที่ 5: 3 ตัวอย่าง Trigger Marketing ที่คุณใช้ได้
1 แคมเปญกู้คืนตะกร้าสินค้า (Abandoned Cart Recovery Campaign)
- ประเภททริกเกอร์: พฤติกรรมของผู้ใช้ (Behavior-based)
-
ตัวอย่าง: เมื่อผู้ใช้เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน แสดงถึงความต้องการซื้อ สามารถส่งอีเมลหรือ
SMS ภายใน 60 นาที เพื่อเตือนอย่างสุภาพว่าสินค้ายังรออยู่ในตะกร้า พร้อมปุ่ม CTA ที่ชัดเจนให้กลับไปชำระเงิน
หากตะกร้ายังถูกทิ้งไว้หลังจาก 24–48 ชั่วโมง ให้ติดตามด้วยข้อความที่เน้นจุดเด่นของสินค้าและถามอย่างสุภาพว่ามีคำถามหรือไม่ การเสนอส่วนลดจำกัดเวลาก็ช่วยกระตุ้นให้เกิด Conversion ได้มากขึ้น - สรุป: จำกัดการเตือนเพียง 2 ครั้ง หากไม่มีการตอบรับ ไม่ควรส่งข้อความครั้งที่ 3 เพื่อป้องกันความรำคาญหรือความเหนื่อยล้าจากการรับข้อความ
2 กระบวนการหลังการสั่งซื้อ (Post Purchase)
- ประเภททริกเกอร์: อิงตามเหตุการณ์ (Event-based)
-
ตัวอย่าง: หลังลูกค้าชำระเงินเสร็จ ส่งอีเมลยืนยันการสั่งซื้อพร้อมรายละเอียดการจัดส่งและใบแจ้งหนี้
นี่คือทริกเกอร์แรก
จากนั้น 3-5 วันให้ติดตามด้วยการขอรีวิวสินค้าอย่างสุภาพ หากรีวิวมีความสำคัญ อาจมอบส่วนลดเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ส่งข้อความแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ ข้อความนี้ควรเน้นสินค้าหรือข้อเสนอใหม่ ไม่ใช่รายการเดิม - สรุป: ทริกเกอร์หลังการซื้อช่วยสร้างความเชื่อมั่น เก็บฟีดแบคที่มีคุณค่า และสนับสนุนการรักษาฐานลูกค้าด้วยการแนะนำสินค้าอย่างชาญฉลาด
3 การแจ้งเตือนโปรโมชัน Cyber Monday (Cyber Monday Sales Notification)
- ประเภททริกเกอร์: อิงตามเหตุการณ์ (Event-based)
-
ตัวอย่าง: เริ่มด้วยการส่งอีเมลแจ้งเตือนล่วงหน้า 1–2 วันก่อน Cyber Monday เพื่อสร้างความคาดหวัง
ให้ลูกค้าทราบว่าโปรโมชันกำลังจะมาและแอบบอกข้อเสนอพิเศษบางส่วน
ในวันจริง ส่งอีเมลเปิดตัวโปรโมชัน แจ้งว่าลดราคาพิเศษเริ่มต้นแล้ว เน้นช่วงส่วนลด ข้อเสนอเด่น และความเร่งด่วนด้วย countdown หรือข้อความจำกัดเวลา
ปิดท้ายด้วยอีเมลเตือนรอบสุดท้ายในวันสุดท้าย กระตุ้นความเร่งด่วนและย้ำว่านี่คือโอกาสสุดท้ายในการช้อป - สรุป: การวางแผนการแจ้งเตือนที่เหมาะสม—ทั้งก่อนเริ่ม ช่วงโปรโมชัน และรอบสุดท้าย—จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและสร้างความเร่งด่วนที่กระตุ้น Conversion ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำส่งท้าย
Trigger Marketing หรือ ทริกเกอร์มาร์เก็ตติ้ง คือแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้า และช่วยเพิ่ม Conversion ได้โดยไม่ต้องทำการตลาดมากเกินไป ด้วยกลยุทธ์นี้ ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในเวลาที่ใช่ เพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้อย่างชัดเจน ถือเป็นวิธีที่ดีกว่าในการสร้าง Engagement และขยายการตลาดในวงกว้าง EngageLab สามารถช่วยให้คุณเริ่มต้นใช้งาน Trigger Marketing ได้อย่างรวดเร็ว รองรับการกำหนดเป้าหมายหลายช่องทาง ใช้ AI ออกแบบการเดินทางของผู้ใช้งาน และดูข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่ม Conversion ให้สูงสุด
เริ่มต้นใช้งานฟรี