การสื่อสารกับลูกค้าผ่าน SMS ไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้แต่ sender ID ของข้อความก็ยังถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด
ในฐานะธุรกิจ คุณต้องเข้าใจว่า SMS sender ID คืออะไร และทำงานอย่างไร ต้องรู้พื้นฐานและศึกษากฎระเบียบของแต่ละภูมิภาคหรือประเทศที่ต้องการดำเนินธุรกิจ
ทั้งหมดนี้เราจะอธิบายในบทความนี้ เราจะอธิบาย ทุกเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ SMS sender ID พร้อมวิธีลดความยุ่งยากในการขอใช้งาน และทำให้แน่ใจว่า SMS ของคุณจะถึงมือลูกค้าแน่นอน

ส่วนที่ 1: SMS Sender ID คืออะไร?
SMS sender ID คือ รหัสที่ใช้ระบุว่าข้อความนี้ส่งมาจากใคร
คุณอาจเคยเห็นข้อความจากแบรนด์ ธุรกิจ หรือเบอร์สั้น ๆ ต่าง ๆ สิ่งที่คุณเห็นในแอป Messages อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือทั้งสองอย่างรวมกัน และเมื่อเปิดข้อความ คุณจะเห็น sender ID แสดงอยู่ด้านบน
ตัวอย่างเช่น ข้อความนี้ถูกส่งมาจาก Sender ID “8119”

Sender ID คือ "8119"
ส่วนที่ 2: กฎของ SMS Sender ID — ความยาว ประเภท และข้อจำกัดตัวอักษร
# ความยาวและข้อจำกัดตัวอักษร
1 ความยาวสูงสุดของ sender ID
ความยาวสูงสุดของ sender ID มีข้อจำกัด
- หาก Sender ID เป็น alphanumeric (ผสมตัวอักษรและตัวเลข) ความยาวสูงสุดคือ 11 ตัวอักษร
- หาก Sender ID เป็น numeric (มีแต่ตัวเลขล้วน) ความยาวสูงสุดคือ 15 ตัวอักษร
2 ทำไม sender ID ถึงจำกัดตัวอักษรน้อย?
SMS แรกถูกส่งในปี 1992 ตอนนั้นมือถือ มีพื้นที่เก็บข้อมูลและหน้าจอแสดงผลจำกัด การใช้ ID สั้น ๆ จึงแสดงผลได้ง่ายและประหยัดพื้นที่ หาก sender ID ยาวเกินไป ส่วนหนึ่งจะถูกตัดออกจากหน้าจอ
ดังนั้น ข้อจำกัดตัวอักษรของ sender ID จึงถูกกำหนดไว้ที่ 11 ตัวอักษรตั้งแต่แรก และกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน
# ข้อจำกัดประเภท
1 Sender ID ของ SMS มีเว้นวรรคได้ไหม?
ไม่ได้ Sender ID ของ SMS ห้ามมีเว้นวรรค แม้ชื่อธุรกิจจะมีหลายคำ ก็ต้องใช้แบบไม่มีเว้นวรรค
วิธีเดียวที่จะแยกคำคือ ตัวพิมพ์ใหญ่กับตัวพิมพ์เล็ก เช่น EngageLab
2 Sender ID ของ SMS ใช้ได้ทั้งตัวอักษรและตัวเลขไหม?
ใช่ Sender ID สามารถใช้ได้ทั้งตัวอักษรและตัวเลข ซึ่งเรียกว่า alphanumeric Sender ID โดยจำกัดความยาวไม่เกิน 11 ตัวอักษร เช่น “James11”
ส่วนที่ 3: ข้อจำกัดตามภูมิภาค/ประเทศ & เครือข่าย เมื่อกำหนด SMS Sender ID
ในบางประเทศ ภูมิภาค หรือเครือข่าย จะมีข้อจำกัดในการเลือก sender ID เช่น บางประเทศต้องใช้ sender ID ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่สามารถใช้ ID แบบกำหนดเองได้ ขณะที่บางประเทศอนุญาตให้ใช้ ID แบบกำหนดเอง แต่จะจำกัดการใช้ ID ทั่วไป
ข้อจำกัดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของแต่ละประเทศ มาดูกันว่ามีประเทศใดบ้างที่มีข้อจำกัดพิเศษ และเหตุผลคืออะไร
1 รายชื่อประเทศ/ภูมิภาคสำคัญที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับ sender ID
ประเทศ | ข้อจำกัดของ SENDER ID |
---|---|
สหรัฐอเมริกา | มีกฎระเบียบเข้มงวดที่เรียกว่า 10DLC ธุรกิจ ไม่สามารถใช้ ID แบบกำหนดเองได้ ต้องลงทะเบียนหมายเลข 10 หลักที่ดูเหมือนหมายเลขโทรศัพท์ทั่วไป และผู้ให้บริการกับหน่วยงานกำกับดูแลจะตรวจสอบการใช้งานอย่างเข้มงวด |
สหราชอาณาจักร | SENDER ID ต้องแสดงตัวตนของแบรนด์อย่างชัดเจน ห้ามใช้คำทั่วไปหรือชวนให้เข้าใจผิด เช่น “Alert,” “Notify,” และ “Bank” ไม่อนุญาตให้ใช้หมายเลขต่างประเทศ ต้องใช้ หมายเลขในสหราชอาณาจักรเท่านั้น |
แคนาดา | ธุรกิจสามารถขอหมายเลข 10 หลักหรือรหัสสั้นได้หลังจากได้รับอนุญาต ไม่อนุญาตให้ใช้ SENDER ID แบบตัวอักษร+ตัวเลข (Alphanumeric) |
ออสเตรเลีย | ห้ามใช้ SENDER ID ทั่วไปหรือชวนให้เข้าใจผิด สามารถเลือก SENDER ID แบบตัวอักษร+ตัวเลขที่จดจำได้ แต่ต้องลงทะเบียน SENDER ID ทุกกรณี และขณะนี้ไม่อนุญาตให้ใช้ SENDER ID แบบเปลี่ยนแปลงได้ (Dynamic Alphanumeric) |
จีน | การใช้ SENDER ID แบบตัวอักษร+ตัวเลขมีข้อจำกัด ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ใช้หมายเลข 10 หลักที่ขึ้นต้นด้วย 106 และอาจมีความยาว 12-21 หลัก ธุรกิจต้องผ่าน กระบวนการลงทะเบียนที่เข้มงวด |
สเปน | SENDER ID แบบตัวอักษร+ตัวเลข ต้องลงทะเบียน กับ CNMC ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2026 หากไม่ลงทะเบียนจะถูกบล็อก ห้ามใช้ SENDER ID ทั่วไป เช่น “INFO” หรือ “SMS” ผู้ให้บริการต้องบล็อกข้อความ SMS ที่ใช้ SENDER ID หมายเลขที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับอนุญาต สำหรับข้อความโปรโมชั่นต้อง ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ และต้องมีทางเลือกให้ยกเลิกการรับ ห้ามเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเมือง ศาสนา การพนัน หรือเนื้อหาที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด |
ไทย | Alphanumeric sender ID ทุกประเภทต้องลงทะเบียนล่วงหน้า หากไม่ลงทะเบียนอาจถูกเปลี่ยนแทน ไม่อนุญาตให้ใช้ sender ID แบบตัวเลข ห้ามใช้ ID ทั่วไป เช่น INFO, SMS หรือ NOTICE ตั้งแต่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 URL ต้องได้รับการ whitelist และไม่สามารถใช้ shared URL shortener ได้ หาก sender ID มี URL อยู่ด้วย หาก URL เปลี่ยนต้องลงทะเบียนใหม่ |
2 ทำไมแต่ละประเทศถึงมีข้อจำกัดในการใช้ SMS Sender ID?
หลายประเทศจำกัดการใช้ SMS Sender ID เพื่อป้องกันการฉ้อโกงและหลอกลวง
- การปลอมแปลงบุคคลหรือธุรกิจด้วยการสร้าง Sender ID ที่เหมือนกันนั้นทำได้ง่ายมาก แต่ละประเทศจึงออกกฎระเบียบเพื่อจำกัดการใช้ Sender ID
- ข้อจำกัดนี้ยังช่วยสร้างความโปร่งใสให้กับลูกค้า ลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์และข้อความ รวมถึงรู้ได้ว่าใครคือผู้ส่งตัวจริงก่อนตัดสินใจดำเนินการใด ๆ
- หากไม่มีการจำกัด Sender ID การควบคุมสแปมจะเป็นเรื่องยากมาก รัฐบาลจึงใช้ข้อจำกัดนี้เพื่อป้องกันสแปม สามารถตรวจสอบและดำเนินการกับ Sender ID ที่ส่งสแปมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศและภูมิภาคส่วนใหญ่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ Sender ID เพื่อควบคุมและรักษาความเป็นระเบียบในอุตสาหกรรมนี้ โดยข้อบังคับเหล่านี้จะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยตามเทคโนโลยีและเพื่อป้องกันช่องโหว่ต่าง ๆ อยู่เสมอ
ส่วนที่ 4: การตอบกลับของผู้รับได้รับผลกระทบจาก Sender ID หรือไม่?
ใช่ การตอบกลับของผู้รับขึ้นอยู่กับรูปแบบของ Sender ID โดยตรง หาก Sender ID เป็นรูปแบบที่ไม่สามารถตอบกลับได้ เช่น ตัวอักษรผสมตัวเลข (alphanumeric) ผู้รับจะไม่สามารถตอบกลับได้ แต่ถ้า Sender ID เป็นหมายเลขโทรศัพท์ ผู้รับจะสามารถตอบกลับไปยังหมายเลขนั้นได้โดยตรง

- Alphanumeric Sender IDs (custom words): โดยทั่วไปจะไม่สามารถตอบกลับได้ เหมาะสำหรับการสื่อสารทางเดียว
- Phone Number Sender IDs: สามารถตอบกลับได้ ผู้รับสามารถตอบกลับไปยังหมายเลขที่แสดงได้โดยตรง
- ข้อควรพิจารณาสำคัญ: ข้อจำกัดเกี่ยวกับ Sender ID และความสามารถในการตอบกลับอาจแตกต่างกันตามผู้ให้บริการและประเทศ
การเลือกใช้ Sender ID ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากต้องการการสื่อสารแบบสองทาง
ส่วนที่ 5: สามารถส่ง SMS ด้วย Sender ID ปลอมได้หรือไม่?
ผู้ส่งสามารถเลือก Sender ID ที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือผสมกัน แม้จะเป็น Sender ID ที่มีผู้อื่นใช้อยู่แล้วก็ตาม
ด้วยเหตุนี้จึงมีโอกาสเกิดการปลอมแปลง Sender ID และมีรายงานการฉ้อโกงหรือหลอกลวงที่เกิดจาก Sender ID ปลอม
มิจฉาชีพมักปลอมแปลง Sender ID เพื่อแอบอ้างว่าเป็นแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้รับเห็น Sender ID ที่ดูถูกต้องจึงหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อ
ตัวอย่างเช่น หากมีธนาคาร ABC และใช้ Sender ID ว่า “AbcBank” มิจฉาชีพอาจใช้ Sender ID เดียวกันนี้ส่งข้อความเพื่อกระทำการผิดกฎหมาย
สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ หาก Sender ID ตรงกับชื่อในสมุดรายชื่อของคุณ คุณจะเห็นชื่อคนนั้นในข้อความ
Sender ID ปลอมเป็นประเด็นที่น่ากังวล และนี่คือเหตุผลที่แต่ละประเทศต้องมีข้อบังคับเพื่อป้องกันการฉ้อโกง
ส่วนที่ 6: ข้อดีของการใช้ Sender ID ส่งรหัส OTP
เมื่อใช้ Sender ID ในการส่งรหัส OTP ข้อความจะไม่ถูกจัดเป็นสแปมหรือถูกบล็อก อัตราการส่งถึงสูงมาก ลูกค้าสามารถรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นผู้ส่ง ลดโอกาสโดนสแปมหรือหลอกลวง
ธุรกิจสามารถส่ง OTP ไปยังทุกประเทศและภูมิภาคได้ เมื่อมีการลงทะเบียน Sender ID อย่างถูกต้อง สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับและยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้
ลูกค้าจะได้รับรหัสยืนยันอย่างรวดเร็วและใช้ภายในเวลาที่กำหนดเพื่อดำเนินการยืนยันตัวตน
ปัญหาคือ บริษัทส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการสมัครขอ Sender ID ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงควรใช้แพลตฟอร์มที่มี Sender ID ที่ผ่านการรับรองอยู่แล้วในการส่งข้อความ
EngageLab เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจในการส่ง OTP ให้กับลูกค้า รองรับมากกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก
ใช้ Sender ID ที่ลงทะเบียนและผ่านการรับรองแล้ว ช่วยให้ธุรกิจส่ง OTP ได้สะดวกและง่ายขึ้น
ลูกค้าไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน Sender ID ด้วยตัวเองให้ยุ่งยาก แต่หากต้องการก็สามารถช่วยดำเนินการลงทะเบียน Sender ID ได้เช่นกัน

EngageLab:
แพลตฟอร์ม All-in-One สำหรับการส่งข้อความ
- การส่งข้อความหลายช่องทาง: EngageLab ให้บริการ Email (พร้อมเทมเพลตสำเร็จรูป), SMS, OTP, WebPush, AppPush เพื่อช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า และยังมี WhatsApp API ในฐานะพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการของ WhatsApp
- เข้าถึงทั่วโลก: ส่ง SMS ไปยังมากกว่า 200 ประเทศและเขตแดน เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการโปรโมตของคุณ
- การจัดส่งอัจฉริยะ: ใช้กลยุทธ์อย่าง automation และการปรับแต่งช่องทาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งถึง
- ติดตามผลแบบเรียลไทม์: ตรวจสอบสถานะการส่ง SMS และวัดผลการส่งข้อความแบบเรียลไทม์
- SMS API: เชื่อมต่อระบบของคุณกับบริการส่งข้อความผ่าน API ของ EngageLab ได้โดยตรง
ส่วนที่ 7: ธุรกิจใช้ Sender ID ส่ง OTP ได้อย่างไร?
นี่คือวิธีใช้ Sender ID ในการส่ง OTP
ขั้นตอนที่ 1: ไปที่เว็บไซต์ EngageLab และสมัครใช้งาน
ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าเทมเพลตข้อความให้เหมาะกับธุรกิจและความต้องการของคุณ พร้อมสร้าง API Key


ขั้นตอนที่ 3: เลือกวิธีการส่ง OTP ที่เหมาะสม EngageLab รองรับทั้งการส่งผ่านเว็บไซต์ backend และการเชื่อมต่อกับ AI

ขั้นตอนที่ 4: เมื่อตั้งค่าเสร็จ ระบบจะส่ง OTP อัตโนมัติ ตรวจสอบประวัติการส่งเพื่อดูรายละเอียดทั้งหมด

ส่วนที่ 8: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SMS Sender ID
-
1
วิธีขอ Sender ID สำหรับธุรกิจทำอย่างไร?
คุณต้องดำเนินการลงทะเบียนกับหน่วยงานภาครัฐและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศที่ต้องการใช้ Sender ID เพื่อให้ง่ายขึ้น คุณสามารถใช้ EngageLab หรือขอความช่วยเหลือในการลงทะเบียน Sender ID ของคุณได้ -
2
สามารถเปลี่ยน Sender ID ในการส่งข้อความส่วนตัวได้หรือไม่?
ไม่สามารถเปลี่ยน Sender ID ได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เพราะ Sender ID จะถูกผูกและลงทะเบียนกับหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ จึงไม่สามารถเปลี่ยนได้แม้ใช้ในกรณีส่วนตัว -
3
จะส่งข้อความโดยใช้ชื่อบริษัทเป็น Sender ID ได้อย่างไร?
คุณต้องขอ Sender ID สำหรับกรณีนั้น แต่ในสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถขอ Sender ID แบบตัวอักษรและตัวเลขได้ ส่วนประเทศอื่น เช่น สหราชอาณาจักร คุณต้องดำเนินการลงทะเบียน Sender ID -
4
สามารถตั้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนเองเป็น Sender ID ได้หรือไม่?
สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละประเทศ/ภูมิภาค
สรุป
SMS Sender ID คือการระบุตัวตนของผู้ส่งข้อความ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือธุรกิจ ธุรกิจควรศึกษาข้อกำหนดของแต่ละประเทศและภูมิภาคให้เข้าใจก่อนเริ่มแคมเปญ
การมี Sender ID เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้โดยไม่ถูกบล็อกหรือมองว่าเป็นสแปม แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องลงทะเบียน ID ในทุกประเทศหรือภูมิภาค คุณสามารถใช้ EngageLab ซึ่งมี Sender ID ที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าและช่วยให้ SMS ของคุณส่งถึงลูกค้าได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน SMS Sender ID ของคุณได้อีกด้วย