avatar

มินตรา

อัปเดต: 2025-09-22

3643 การดู, 6 min การอ่าน

การเข้าถึงลูกค้าในยุคนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ "พูดอะไร" แต่ยังขึ้นอยู่กับ "สื่อสารอย่างไร" และ "ผ่านช่องทางไหน" ด้วย สองช่องทางยอดนิยมที่ธุรกิจใช้ติดต่อกับลูกค้าคือ การแจ้งเตือนแบบพุช และ การแจ้งเตือน SMS

ถ้ามองเผิน ๆ ทั้งสองแบบอาจดูคล้ายกัน: ทั้งคู่แสดงขึ้นโดยตรงบนมือถือของลูกค้า ทั้งคู่สั้น กระชับ ตรงประเด็น แต่จริง ๆ แล้ว วิธีการทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้ และสถานการณ์ที่เหมาะสม แตกต่างกันมาก

ในคู่มือนี้ เราจะพาคุณเปรียบเทียบ push notifications vs sms อธิบายเหตุผลที่ควรเลือกใช้แต่ละแบบ ช่วงเวลาที่เหมาะสม และวิธีเลือกช่องทางที่ตอบโจทย์เป้าหมายธุรกิจของคุณ

push notifications vs sms

ส่วนที่ 1: Push Notifications vs SMS: ความแตกต่างหลัก

เปรียบเทียบแบบเร็ว: Push Notification vs SMS

การเลือกใช้ระหว่าง push notifications กับ sms ขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่าช่องทางแต่ละแบบทำงานอย่างไรในสถานการณ์จริง Push notifications ขับเคลื่อนโดยแอป ยืดหยุ่น เหมาะกับการสร้างแบรนด์ ส่วน SMS เข้าถึงได้ทุกคน ตรงไปตรงมา และยากจะมองข้าม ตารางด้านล่างนี้จะแสดงความแตกต่างเรื่องการส่ง การมองเห็น การมีส่วนร่วม และต้นทุน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าช่องทางไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ

การแจ้งเตือนแบบพุช (Push Notification) SMS
Opt-in ไม่ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ แค่ยืนยันในแอป ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือรหัสสั้นในการสมัคร
Open Rate อัตราการเปิดต่ำ (7.8%) อัตราการเปิดสูงมาก (98%)
Visibility แสดงเป็นแบนเนอร์, ป้ายแจ้งเตือน หรือ pop-up อาจซ้อนกับการแจ้งเตือนอื่น ๆ อยู่บนสุดของกล่องข้อความ แยกจากการแจ้งเตือนอื่น
Content รองรับสื่อหลากหลาย เช่น รูปภาพ ลิงก์ เสียง ส่วนใหญ่เป็นข้อความ (160 ตัวอักษร)
User Control ผู้ใช้ตั้งค่าการรับแจ้งเตือนได้ เช่น ปิดเสียง ปิดแจ้งเตือน หรือกำหนดรูปแบบ ควบคุมได้น้อย ส่วนใหญ่เลือกได้แค่ยกเลิกการรับ
Engagement ผู้ใช้คลิกเพื่อเปิดแอป ผู้ใช้ตอบกลับ คลิกลิงก์ หรือโต้ตอบผ่านข้อความได้
Requirements ต้องติดตั้งแอปและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต
Delivery Method ส่งผ่านแอป ส่งผ่านเครือข่ายมือถือ
Branding รองรับโลโก้และอัตลักษณ์แบรนด์ในข้อความ ตัวเลือกสร้างแบรนด์จำกัดหรือไม่มีเลย
Charges คิดค่าบริการช่องทางและบริการ ไม่มีค่าใช้จ่ายต่อการแจ้งเตือน คิดค่าบริการต่อ SMS

ส่วนที่ 2: ข้อดีของการแจ้งเตือนแบบพุช

การแจ้งเตือนแบบพุช (Push Notification) เป็นวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ถ้าผู้ใช้ติดตั้งแอปไว้ ข้อความจะแสดงเป็นแบนเนอร์แจ้งเตือนบนหน้าจอ

แม้ว่าอัตราการเปิดจะน้อยกว่า SMS แต่การแจ้งเตือนแบบพุชจะปรากฏบนหน้าจอหลักและถูกมองข้ามน้อยกว่า ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะอ่านหัวข้อหรือข้อความสั้น ๆ หากสนใจจะกดเข้าไปดูรายละเอียดในแอป

การแจ้งเตือนแบบพุช ใส่แบรนด์ได้เต็มที่ เพราะจะแสดงชื่อและโลโก้แอป สร้างการมีส่วนร่วมผ่านคอนเทนต์ rich-media เช่น รูปภาพ วิดีโอ เพลง ฯลฯ เมื่อผู้ใช้เปิดแอปก็สามารถมีส่วนร่วมได้หลากหลายแบบไม่จำกัด

ไม่ต้องขออนุญาตชัดเจน แค่ดาวน์โหลดแอปก็ถือว่ายินยอมรับการแจ้งเตือนแล้ว เจ้าของแอปจึงไม่ต้องกังวลเรื่อง opt-in แยกต่างหาก อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดเข้มงวดเหมือน SMS ธุรกิจจึงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

ส่วนที่ 3: ข้อดีของ SMS

SMS เป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเข้าถึงลูกค้า เพราะมี อัตราการเปิดสูงถึง 98% โอกาสที่ข้อความจะถูกเปิดอ่านจึงสูงมาก ธุรกิจจึงนิยมใช้ SMS ในแคมเปญการตลาด แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเพราะต้องเสียค่าบริการ แต่ก็ยังเป็นช่องทางหลักในการทำการตลาด

ผู้รับมักจะเปิดอ่านข้อความทันทีที่ได้รับ โอกาสที่ข้อความจะถูกมองข้ามน้อยกว่าช่องทางอื่น ๆ

ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต ผู้รับจะได้รับข้อความผ่านเบอร์โทรศัพท์โดยตรงผ่านเครือข่ายมือถือ ส่งถึงทันที เหมาะกับกรณีที่ต้องการความรวดเร็ว

ส่วนที่ 4: กรณีการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับการแจ้งเตือนแบบพุช

การแจ้งเตือนแบบพุชสามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย และบางกรณีก็เหนือกว่า SMS อย่างชัดเจน

push notifications vs sms
  • กระตุ้นให้ใช้แอป: ถ้าต้องการให้ผู้ใช้เปิดแอปและมีส่วนร่วมมากขึ้น การแจ้งเตือนแบบพุชคือทางเลือกที่ดีที่สุด สามารถแจ้งเตือนและกระตุ้นให้ผู้ใช้เปิดแอปได้
  • อัปเดตสินค้า: ธุรกิจนิยมใช้การแจ้งเตือนแบบพุชเพื่อแจ้งข่าวสาร อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ หรือข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งรวดเร็วและเห็นได้ทันที
  • โปรโมชั่น: สำหรับส่วนลดหรือดีลพิเศษ การแจ้งเตือนแบบพุชเหมาะมาก เพราะดึงดูดความสนใจและมีโอกาสถูกคลิกสูง
  • เก็บฟีดแบค: ธุรกิจใช้การแจ้งเตือนแบบพุชเพื่อเก็บฟีดแบค เช่น รีวิวแอป แบบสอบถาม หรือฟอร์มแสดงความคิดเห็น
  • งบประมาณจำกัด: ถ้างบการตลาดจำกัด การแจ้งเตือนแบบพุชเหมาะสม เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่งและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ช่วยประหยัดงบ
  • คอนเทนต์ rich media: ถ้าต้องการส่งคอนเทนต์ rich media เช่น วิดีโอ รูปภาพ หรือเนื้อหาอื่น ๆ การแจ้งเตือนแบบพุชจะนำผู้ใช้เข้าสู่แอปที่สามารถแสดงคอนเทนต์ได้หลากหลาย
  • ส่งข้อความจำนวนมาก: เมื่อต้องการส่งข้อความจำนวนมากหรือข้อความเดียวกันถึงทุกคน การแจ้งเตือนแบบพุชก็เหมาะเช่นกัน

ส่วนที่ 5: กรณีการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับ SMS

SMS ถูกนำไปใช้ในหลายวัตถุประสงค์และครอบคลุมการใช้งานมากกว่าการแจ้งเตือนแบบพุช เป็นมากกว่าช่องทางการตลาด

sms vs push notification
  • ข้อความด่วน: เมื่อต้องการส่งข้อความด่วน SMS คือช่องทางที่เหมาะสม ส่งถึงผู้รับได้รวดเร็วและมีอัตราการเปิดอ่านสูง สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทันที ธุรกิจจึงนิยมใช้ SMS แจ้งข่าวสำคัญ เช่น การเปลี่ยนนโยบาย การเปิดสาขาใหม่ ฯลฯ
  • การปรับแต่งเฉพาะบุคคล: SMS สามารถใช้ส่งข้อความแบบเฉพาะบุคคลได้ ซึ่งการแจ้งเตือนแบบพุชยังทำได้ไม่เท่า ธุรกิจสามารถส่ง SMS ถึงบุคคลเดียวหรือกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้อย่างยืดหยุ่น
  • อัปเดตข้อมูล: ธุรกิจสามารถส่งอัปเดตต่าง ๆ ผ่าน SMS เช่น แจ้งสถานะการจัดส่งพัสดุ การสิ้นสุดโปรโมชั่น ฯลฯ
  • แจ้งเตือน: การแจ้งเตือนสภาพอากาศ การเดินทาง การทุจริต หรือแจ้งเตือนสำคัญอื่น ๆ มักส่งผ่าน SMS เพราะรวดเร็วและมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถึงผู้รับทันที
  • ยืนยันข้อมูล: ธุรกิจนิยมส่งข้อความยืนยันการชำระเงิน การสั่งซื้อ หรือการยืนยันอื่น ๆ ผ่าน SMS
  • เตือนความจำ: ข้อความเตือนนัดหมาย หมดอายุสมาชิก เตือนรับประทานยา ฯลฯ มักส่งผ่าน SMS เพราะมีโอกาสถูกเปิดอ่านและตอบสนองสูง
  • ยืนยันตัวตน: สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-factor authentication) SMS ยังคงเป็นช่องทางหลักในการส่งรหัส OTP หรือข้อความยืนยันตัวตนอย่างรวดเร็ว
  • การตลาด: SMS ยังเป็นเครื่องมือสำหรับการตลาด ธุรกิจสามารถส่งข้อความโปรโมชั่นหรือส่วนลดแบบกลุ่มถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนที่ 6: กรณีการใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับการผสมผสาน SMS และการแจ้งเตือนแบบพุช

การเลือกใช้ระหว่าง SMS และการแจ้งเตือนแบบพุช ไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หลายกรณีสามารถผสมผสานทั้งสองช่องทางอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมสูงสุด ตัวอย่างการนำไปใช้เช่น:

  • โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ: แชร์ดีลหรือเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว การแจ้งเตือนแบบพุชสามารถดึงดูดผู้ใช้ขณะใช้งานแอป ส่วน SMS จะช่วยย้ำเตือนสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดดู
  • แจ้งเตือนสำคัญ: ในสถานการณ์เร่งด่วน เช่น ระบบขัดข้อง แจ้งเตือนความปลอดภัย หรือการจัดส่งล่าช้า ควรเริ่มต้นด้วย SMS เพื่อให้เห็นทันที แล้วตามด้วยการแจ้งเตือนแบบพุชสำหรับอัปเดตหรือขั้นตอนถัดไป
  • อัปเดตบัญชี: เมื่อต้องการให้ผู้ใช้ยืนยันหรืออัปเดตข้อมูล เช่น รายละเอียดการชำระเงินหรือโปรไฟล์ สามารถใช้การแจ้งเตือนแบบพุชกระตุ้นให้ดำเนินการในแอป จากนั้นส่ง SMS หากยังไม่ได้ตอบสนอง
  • แบบสอบถามและฟีดแบค: กระตุ้นให้ผู้ใช้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง เริ่มด้วยการแจ้งเตือนแบบพุช และใช้ SMS เป็นการเตือนสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เข้าร่วม
  • เตือนนัดหมายหรือกิจกรรม: ช่วยให้ผู้ใช้ไม่พลาดนัดหมายหรือกิจกรรม แจ้งเตือนผ่านแอปก่อน แล้วส่ง SMS หากยังไม่ได้ยืนยันหรือมีปฏิสัมพันธ์

ส่วนที่ 7: วิธีเลือกใช้ระหว่าง SMS และการแจ้งเตือนแบบพุชสำหรับธุรกิจของคุณ

หากต้องการเข้าถึงผู้ใช้แบบทันที ทั้ง SMS และการแจ้งเตือนแบบพุชต่างก็มีข้อดีในแบบของตนเอง แต่แต่ละช่องทางเหมาะกับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน การเลือกช่องทางที่เหมาะสมจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อย่างมาก มาดูรายละเอียดการใช้งานแต่ละแบบและช่วงเวลาที่ควรเลือกใช้

# การแจ้งเตือนแบบพุช: ตรงเป้า ขยายได้ง่าย และประหยัดต้นทุน

หากธุรกิจของคุณมีแอปมือถือ การแจ้งเตือนแบบพุชถือเป็นวิธีที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพในการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ ข้อความจะถูกส่งตรงถึงผู้ที่ติดตั้งแอปของคุณ ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและตรงเวลา

ข้อดีที่สำคัญคือ การแจ้งเตือนแบบพุชสามารถขยายการส่งได้ไม่จำกัด เมื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มหรือบริการที่เหมาะสม ธุรกิจสามารถส่งข้อความได้ตามต้องการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่อข้อความ เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการติดต่อกับผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่เพิ่มต้นทุน

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัด การแจ้งเตือนแบบพุชมักมีอัตราการเปิดอ่านต่ำ และผู้ใช้มักปัดทิ้งหรือมองข้าม นอกจากนี้ ไม่เหมาะสำหรับการสื่อสารที่เร่งด่วนหรือเฉพาะบุคคลสูง เพราะข้อความจะเหมือนกันสำหรับผู้ใช้ทุกคน

# SMS: รวดเร็ว เชื่อถือได้ และเหมาะกับความเร่งด่วน

SMS เป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการส่ง ข้อความด่วนและเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันตัวตนหรือการตลาด ก็สามารถใช้ได้หลากหลาย มีอัตราการเปิดอ่านสูงมาก จึงให้ผลตอบแทนที่ดี ข้อความถูกส่งถึงผู้รับทันที ธุรกิจจึงมั่นใจได้สำหรับการอัปเดตด่วน ข้อความ OTP หรือการยืนยันต่าง ๆ

ธุรกิจควรเลือกใช้ SMS แต่ต้องมีงบประมาณที่เหมาะสม เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ SMS แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ หากคุณมีงบประมาณเพียงพอ ควรลองใช้ดู นอกจากนี้ ธุรกิจควร พิจารณาข้อจำกัด กฎ และข้อบังคับของการตลาดผ่าน SMS ด้วย

โปรดทราบว่า SMS รองรับเฉพาะข้อความ ตัวอักษรล้วน หากคุณต้องการส่งเนื้อหาที่เป็น rich media การแจ้งเตือนแบบพุชและช่องทางอื่น ๆ จะเหมาะสมกว่า

แล้วควรเลือกใช้ช่องทางไหน?

โดยหลักการแล้ว ธุรกิจควรเลือกใช้ทั้งสองช่องทาง เพราะแต่ละแบบมีข้อดีเฉพาะตัวและเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน แต่ถ้าธุรกิจของคุณไม่มีแอป ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือ SMS

ไม่ว่าคุณจะเลือกช่องทางไหน คุณต้องมีแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้และขยายได้—และนี่คือจุดที่ EngageLab เข้ามาตอบโจทย์ EngageLab คือแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบ omnichannel ที่ทรงพลัง ช่วยให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายผ่าน SMS, WhatsApp, อีเมล, App Push และ Web Push—all from one place

แพลตฟอร์มการตลาด sms และ push notification

ด้วย บริการ SMS ระดับโลก ของ EngageLab ธุรกิจสามารถครอบคลุมได้กว่า 200 ประเทศและภูมิภาค ส่งข้อความได้หลายภาษา รองรับกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ พร้อมรายงานสถานะเรียลไทม์และข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียด

push vs sms

สำหรับ App Push Notifications EngageLab มีช่องทางผู้ให้บริการ 8 ราย และอัตราการเข้าถึงสูงสุด 40% UP พร้อมรูปแบบข้อความมากกว่า 7 แบบ และกฎการจัดกลุ่มผู้ใช้มากกว่า 10 แบบ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รองรับหลายโซนเวลา หลายภาษา และครอบคลุมทั่วโลกผ่าน multi-data node selection

push vs sms notification

สรุปแล้ว EngageLab ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น—ทั้งทั่วโลกและทุกช่องทาง เป็นแพลตฟอร์มแบบ all-in-one ที่ทำให้การเข้าถึง เปลี่ยน และรักษาผู้ใช้เป็นเรื่องง่าย

สรุป

SMS และการแจ้งเตือนแบบพุช ต่างก็เป็นช่องทางการมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่ดีเยี่ยม ธุรกิจสามารถใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ แต่แต่ละแบบมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานว่าควรเลือกแบบใด EngageLab มอบความยืดหยุ่น การเข้าถึง และข้อมูลเชิงลึก ให้คุณส่งข้อความได้ตรงเป้าทุกครั้ง—ไม่ว่าจะเป็น SMS สำคัญหรือ app push ที่ตรงเวลา

เริ่มเชื่อมต่ออย่างชาญฉลาดกับ EngageLab—แพลตฟอร์มเดียวสำหรับการมีส่วนร่วมกับลูกค้าทั่วโลกแบบหลายช่องทาง

เริ่มใช้ฟรี