ในโลกของการตลาดอีเมลที่มีการแข่งขันสูง การเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณชื่นชอบอะไรถือเป็นสิ่งสำคัญ A/B Testing คือเทคนิคทรงพลังที่ช่วยตอบคำถามซับซ้อนนี้และยกระดับกลยุทธ์อีเมลมาร์เก็ตติ้งของคุณ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แคมเปญการตลาดอีเมลแบบ A/B Testing จะช่วยเพิ่มอัตราการเปิด อัตราคลิก และยอด Conversion ได้ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีการนี้อย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณเข้าใจถึงประโยชน์ที่ A/B Testing จะมอบให้กับธุรกิจของคุณ
Part 1: A/B Testing ในการตลาดอีเมลคืออะไร?
A/B Testing หรือการทดสอบแบบแบ่งกลุ่ม เป็นเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการส่งอีเมลสองเวอร์ชันที่แตกต่างกันไปยังกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็กของคุณ
ด้วยการทดสอบ A/B ในอีเมลนี้ คุณจะค้นพบว่าเวอร์ชันใดให้ผลลัพธ์ดีกว่า สะท้อนถึงความชอบของกลุ่มเป้าหมายของคุณ ดังนั้นคุณจึงสามารถระบุได้ว่าองค์ประกอบใดในอีเมลและจดหมายข่าวของคุณที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อนำไปใช้กับแคมเปญในอนาคต
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมคุณควรนำวิธีนี้มาใช้กับกลยุทธ์การตลาดของคุณ นี่คือข้อดีหลัก ๆ ของการทำ A/B Testing อีเมล:
- ตัดสินใจด้วยข้อมูล: หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ควรลองทำ Split Testing คือคุณจะได้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ใช้ได้ผลหรือไม่ได้ผลกับกลุ่มเป้าหมายของคุณโดยเฉพาะ ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- เพิ่มอัตรา Conversion: เป้าหมายของการตลาดอีเมลคือการสร้างการรับรู้ถึงสินค้า/บริการและกระตุ้นยอดขาย ซึ่งจะสะท้อนผ่านอัตรา Conversion เมื่อคุณเข้าใจสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบ คุณจะเห็นอัตรา Conversion สูงขึ้น ส่งผลให้ ROI ของคุณน่าประทับใจ
- เพิ่มการมีส่วนร่วม: ด้วยวิธีนี้ คุณจะไม่ได้เห็นแค่อัตรา Conversion ของอีเมลที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึง อัตราการเปิดอีเมล และอัตราคลิกที่เพิ่มขึ้นด้วย เพราะคุณรู้แล้วว่าองค์ประกอบใดที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและกระตุ้นให้พวกเขาคลิกอ่านจดหมายข่าวของคุณ
- ลดจำนวนผู้ยกเลิกติดตาม: อีเมลที่ไม่มีประสิทธิภาพมักนำไปสู่การยกเลิกติดตามจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์โดยรวมของคุณ แต่ด้วย A/B Testing ในอีเมล คุณสามารถลดความเสี่ยงนี้และ รักษาฐานผู้ติดตามของคุณไว้ได้
Part 2: สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำ Email A/B Testing
ทำไม A/B Testing ถึงสำคัญ?
ข้อดีทั้งหมดที่กล่าวมาในส่วนก่อนหน้านี้ คือจุดเริ่มต้นที่ดีว่าทำไม A/B Testing ถึงมีความสำคัญ โดยหลักการแล้ว วิธีนี้ช่วยให้คุณเลิกเดาสุ่มในการทำอีเมลมาร์เก็ตติ้ง และได้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
คุณไม่จำเป็นต้องพึ่งสัญชาตญาณ เทรนด์ หรือการเหมารวมอีกต่อไป เพราะคุณสามารถใช้ A/B Testing ในอีเมลเพื่อค้นหาว่า Subject Line ไหนที่ช่วยเพิ่มอัตราการเปิด และข้อความใดที่ช่วยเพิ่มอัตราคลิก วิธีที่อ้างอิงข้อมูลจริงนี้ช่วยให้การตลาดของคุณมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
A/B Testing ทำงานอย่างไร?
หลังจากที่รู้จักว่า A/B Testing ในการตลาดอีเมลคืออะไร คำถามถัดไปคือ วิธีนี้ทำงานอย่างไร? เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราจะอธิบายขั้นตอนพื้นฐานดังนี้:
- เลือกองค์ประกอบที่จะทดสอบ: เลือกทดสอบทีละหนึ่งองค์ประกอบ เช่น หัวเรื่องอีเมล หรือปุ่ม CTA หากทดสอบหลายอย่างพร้อมกันในอีเมลเดียว อาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อนและแปลข้อมูลได้ยาก
- สร้างเวอร์ชันที่แตกต่างกัน: Split testing คือการส่งอีเมลสองเวอร์ชัน ดังนั้นให้สร้างเวอร์ชันที่ต่างกันโดยเปลี่ยนแปลงเฉพาะองค์ประกอบที่เลือกไว้เท่านั้น
- แบ่งกลุ่มเป้าหมาย: แบ่งรายชื่ออีเมลออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อส่งอีเมลแต่ละเวอร์ชันให้กับแต่ละกลุ่ม
- ส่งอีเมล: ส่งอีเมลแต่ละเวอร์ชันไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้
- วิเคราะห์ผลลัพธ์: วัดประสิทธิภาพของแต่ละเวอร์ชันโดยใช้ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง เช่น หากทดสอบหัวเรื่องอีเมล ให้ดูอัตราการเปิดอีเมลเป็นหลัก
- นำผลลัพธ์ไปปรับใช้: ใช้เวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุดเป็นต้นแบบสำหรับอีเมลในอนาคต และสามารถทำ Email A/B Testing ต่อเนื่องเพื่อพัฒนาอีเมลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนเริ่มทดสอบ
คุณไม่สามารถปรับปรุงสิ่งที่ไม่ได้วัดผลได้ ก่อนเริ่มทดสอบ A/B ควรกำหนด:
KPI หลัก (Key Performance Indicator)
- ✅ อัตราการเปิดอีเมล (ทดสอบหัวเรื่องอีเมล)
- ✅ อัตราการคลิก (ทดสอบ CTA หรือเนื้อหา)
- ✅ อัตรา Conversion (ทดสอบหน้า Landing Page หรือข้อเสนอ)
- ✅ อัตราการยกเลิกติดตาม (ทดสอบความเกี่ยวข้องของเนื้อหา)
ตัวชี้วัดรอง:
- ✅ อัตราการส่งต่อ/แชร์
- ✅ เวลาที่ใช้ในการอ่าน
- ✅ รายได้ต่ออีเมล
Part 3: สิ่งที่สามารถทดสอบได้ใน Email A/B Testing
ในส่วนนี้ เราจะอธิบายว่าองค์ประกอบใดบ้างที่สามารถนำมาทดสอบด้วยวิธีนี้ พร้อมตัวอย่างเพื่อให้คุณเข้าใจการทำ A/B Testing อย่างครบถ้วน
#1 หัวเรื่องอีเมล
หัวเรื่องอีเมลเป็นสิ่งแรกที่ผู้รับจะเห็น จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเปิดอีเมล คุณสามารถใช้ A/B Testing ทดสอบหัวเรื่องที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าแบบไหนดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดีที่สุด
ตัวอย่าง:
ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเริ่มทดสอบว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณชอบแบบใด จากตัวอย่างจะเห็นว่า “Just Eat” ใช้ emoji ในหัวเรื่องและมักพูดถึงข้อเสนอ ซึ่งคุณอาจพบว่าวิธีนี้เหมาะกับธุรกิจของคุณเช่นกัน ด้านล่างคือตัวอย่างหัวเรื่องสองเวอร์ชันที่สามารถนำไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้:
เวอร์ชัน A: "รับของแถมมากขึ้นวันศุกร์นี้!"
เวอร์ชัน B: "ข้อเสนอจำกัดเวลา: รับดีลวันศุกร์ของคุณตอนนี้!"
#2 ปุ่มเรียกร้องให้ดำเนินการ (CTA)
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ควรทดสอบคือปุ่ม CTA ในอีเมล ซึ่งเป็นหัวใจในการกระตุ้นให้เกิดการคลิกและนำไปสู่ยอดขายจริง คุณสามารถทดลองเปลี่ยนข้อความ สี หรือการจัดวางปุ่ม เพื่อค้นหาว่าแบบใดเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด
ตัวอย่าง:
จากภาพนี้จะเห็นว่าปุ่ม CTA ถูกวางไว้อย่างชัดเจน เป็นปุ่มสีเหลืองขนาดใหญ่ที่เห็นได้ง่าย และใช้ข้อความตัวหนาเพื่อกระตุ้นให้คลิก คุณยังสามารถเปลี่ยนข้อความหรือรูปแบบปุ่มเพื่อทดสอบประสิทธิภาพกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้อีกด้วย
เวอร์ชัน A: "รับดีลสุดคุ้ม" (ปุ่มสีแดง)
เวอร์ชัน B: "ซื้อ & รับของแถมฟรี" (ปุ่มสีน้ำเงิน)
#3 รูปแบบเนื้อหาอีเมล
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่สามารถทดสอบได้คือรูปแบบการจัดวางเนื้อหาในอีเมล ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการนำทางและการอ่านของผู้รับ หากเนื้อหายาวเกินไป ผู้ใช้อาจไม่อ่านจนถึงปุ่ม CTA แต่ถ้าข้อมูลน้อยเกินไป ผู้รับอาจไม่สนใจข้อเสนอของคุณ การทดสอบรูปแบบการจัดวางเนื้อหาหลายแบบจึงสำคัญ เพื่อค้นหาว่าแบบไหนช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน
ตัวอย่าง:
ในตัวอย่างนี้ เราศึกษาจากแอป "Slowly" จะเห็นว่าเนื้อหาในอีเมลนี้กระชับ เข้าใจง่าย พร้อมภาพประกอบที่สะดุดตา คุณสามารถลองใช้แนวทางนี้ หรือเพิ่มข้อความเพื่อโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายได้เช่นกัน
เวอร์ชัน A: เลย์เอาต์คอลัมน์เดียว เน้นแบนเนอร์หลัก
เวอร์ชัน B: เลย์เอาต์สองคอลัมน์ เน้นเนื้อหา
#4 รูปภาพ
รูปภาพช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับอีเมลได้มาก แต่ประเภทและตำแหน่งของรูปภาพก็มีผลต่อประสิทธิภาพเช่นกัน คุณควรทดสอบสไตล์ของรูปภาพที่หลากหลาย เพื่อดูว่าแบบไหนตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
ตัวอย่าง:
ในภาพนี้จะเห็นว่า “Dribble” ใช้กราฟิกที่สื่อถึงภาพลักษณ์ของแพลตฟอร์มได้อย่างชัดเจน คุณสามารถลองใช้ภาพที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณเอง และทดสอบแนวทางที่แตกต่างกัน เช่น ใช้ภาพถ่ายสินค้า หรือภาพขณะใช้งานสินค้า
เวอร์ชัน A: รูปสินค้าขณะมีนางแบบใช้งาน
เวอร์ชัน B: รูปสินค้าล้วน เน้นราคาสินค้า
Part 4: วิธีทำ Email A/B Testing ด้วยแพลตฟอร์มองค์กรของ EngageLab
เมื่อเข้าใจถึงคุณค่าทางกลยุทธ์ของการทดสอบ A/B ใน การตลาดอีเมล แล้ว ขอเชิญคุณสำรวจวิธีดำเนินแคมเปญ Split Test ประสิทธิภาพสูงผ่านแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งของ EngageLab ออกแบบมาเพื่อการสื่อสารธุรกิจสำคัญ ช่วยให้คุณทดสอบหลายตัวแปรได้อย่างแม่นยำ พร้อมการส่งอีเมลระดับองค์กรครอบคลุมตลาดทั่วโลก เหมาะสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดด้วยข้อมูลจริง
ขั้นตอนต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติอย่างมืออาชีพ:
- ขั้นตอนที่ 1: เข้าสู่ระบบ และเข้าถึง Console Dashboard ของ EngageLab ของคุณ
- ขั้นตอนที่ 2: ไปที่โมดูลผลิตภัณฑ์ อีเมล
- ขั้นตอนที่ 3: ทำตามคำแนะนำการตั้งค่าผลิตภัณฑ์ในคอนโซล และดำเนินการเปิดใช้งานและสมัครใช้งานผลิตภัณฑ์อีเมลให้เสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นการตั้งค่าจะสมบูรณ์และพร้อมใช้งาน
- ขั้นตอนที่ 4: จากแถบเมนูด้านซ้าย ค้นหาและขยายส่วน "การตลาด" จากนั้นเลือก "แคมเปญ"
- ขั้นตอนที่ 5: คลิกปุ่ม "สร้าง" เพื่อเริ่มสร้างแคมเปญใหม่
- ขั้นตอนที่ 6: ระบุ "A/B Test Campaign" เป็นประเภทแคมเปญของคุณ
- ขั้นตอนที่ 7: พัฒนาอีเมลของคุณเอง โดยคุณสามารถ เพิ่มองค์ประกอบและเนื้อหาได้ตามต้องการ เพื่อใส่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์และสร้างความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ หากยังไม่มีไอเดียในการเขียนเนื้อหา สามารถใช้เครื่องมือ ShanAI ที่มีในระบบเพื่อสร้างและตั้งค่าเนื้อหาอีเมลได้อย่างรวดเร็วในไม่กี่นาที
- ขั้นตอนที่ 8: ส่งแคมเปญทดสอบของคุณไปยัง กลุ่มเป้าหมายที่แบ่งกลุ่มไว้ล่วงหน้าเพื่อความถูกต้องของข้อมูล เพื่อความแม่นยำของตัวอย่างข้อมูล แนะนำให้ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างไม่น้อยกว่า 500 คน หากกลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็กเกินไป อาจทำให้ข้อมูลเบี่ยงเบนและส่งผลต่อความถูกต้องของผลทดสอบ
Part 5: เคล็ดลับการตั้งค่า Email A/B Testing
จากเนื้อหาก่อนหน้านี้จะเห็นว่าการทำ A/B test ไม่ใช่เรื่องยากหากมีเครื่องมือที่เหมาะสม แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มสร้างแคมเปญของตัวเอง ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณใช้วิธีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด:
- การวางแผนการทดสอบเชิงกลยุทธ์ – กำหนด KPI ที่ชัดเจนก่อนเริ่มการทดสอบทุกครั้ง เพื่อให้สามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อ่านเพิ่มเติมได้ที่ [กลยุทธ์ปลดล็อกการส่งอีเมลให้ถึงกล่องจดหมายสำเร็จ]
- ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ – เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ควรเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เล็กเกินไป โดยแนะนำให้มีผู้รับ ≥ 1,000 รายต่อการทดสอบแต่ละครั้ง (อ้างอิง Mailchimp benchmark) หากทดสอบกับกลุ่มเล็กเกินไป อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยสุดโต่งที่บิดเบือนความแม่นยำของข้อมูล
- การทดสอบแยกตัวแปรเดียว – ทดสอบองค์ประกอบแต่ละอย่างแยกกัน (เช่น หัวเรื่องอีเมล, CTA, เวลาส่ง) เพื่อระบุปัจจัยที่แท้จริงที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ
- กำหนดระยะเวลาทดสอบจากข้อมูลจริง – หากทดสอบในกลุ่มธุรกิจ (B-side) ที่ส่งถึงผู้บริโภค (C-side) ควรใช้เวลา 48-72 ชั่วโมง และหากทดสอบในกลุ่มธุรกิจ (B-side) ด้วยกัน แนะนำให้ใช้เวลา 5-7 วัน เพื่อให้มั่นใจในความน่าเชื่อถือของข้อมูล
- วงจรการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง – ดำเนินการทดสอบอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมาย ทดสอบเนื้อหาแต่ละส่วนทีละขั้นตอน โดยเวอร์ชันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสามารถเพิ่มตัวชี้วัดสำคัญได้ 20-40%
- การทดสอบระดับองค์กรกับ EngageLab – แพลตฟอร์มของเรามีความแม่นยำในการทดสอบถึง 99.9% พร้อมระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
สรุปใจความ
การทดสอบ A/B อีเมล เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์อีเมลมาร์เก็ตติ้งของคุณ เมื่อเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายตอบสนองต่ออะไร จะช่วยให้คุณเห็นการปรับปรุงในตัวชี้วัดสำคัญของแคมเปญส่วนใหญ่ EngageLab มอบแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง ช่วยให้การทดสอบ A/B เป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพสำหรับกลยุทธ์อีเมลของคุณ สมัครใช้งาน EngageLab วันนี้ เพื่อเริ่มต้นทดสอบ A/B และเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น








