ไม่ว่าคุณจะพยายามเข้าสู่ระบบแอปส่งข้อความอย่าง WhatsApp หรือแอปธนาคารที่มีความปลอดภัยสูง คุณก็น่าจะเคยเจอกับ OTP ซึ่งย่อมาจาก รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว แต่คุณรู้ไหมว่า OTP จริง ๆ แล้วคืออะไร? OTP คือชุดรหัสที่สร้างขึ้นอัตโนมัติ เพื่อใช้ยืนยันตัวตนของคุณในการเข้าสู่ระบบ
นี่เป็นเพียงแนวคิดพื้นฐานของ OTP เท่านั้น ยังมีรายละเอียดอีกมาก มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า OTP ในธนาคารคืออะไร และการนำไปใช้งานที่สำคัญกันดีกว่า
OTP ในธนาคารคืออะไร?
รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) คือการเพิ่มความปลอดภัยให้กับธุรกรรมออนไลน์ของคุณ โดยจะเป็นรหัสตัวเลข 4-6 หลักที่สร้างแบบสุ่มและไม่ซ้ำกัน ทำหน้าที่คล้าย PIN เพื่อยืนยันธุรกรรมทางธนาคารของคุณ
ตามชื่อของมัน OTP จะใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น โดยปกติในธนาคารจะใช้กับธุรกรรมเดียว หรือการเข้าสู่ระบบแต่ละครั้ง OTP มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับธุรกรรมออนไลน์ เพราะปลอดภัยกว่ารหัสผ่านที่ผู้ใช้ตั้งเอง
ความสำคัญของ OTP ในธนาคาร
OTP มีความสำคัญมากในการปกป้องเงินของคุณในธนาคารและสถาบันการเงิน โดยประโยชน์หลัก ๆ มีดังนี้
เพิ่มความปลอดภัย: รหัสผ่านที่ผู้ใช้ตั้งเองมีความเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูล โดยเฉพาะหากใช้รหัสเดียวกันในหลายที่ ดังนั้น OTP จึงสำคัญในการป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงบัญชีหรือทำธุรกรรมทางการเงินของคุณได้
- ยืนยันตัวตนรวดเร็ว: OTP จะถูกสร้างและส่งถึงผู้ใช้ทันที โดยเฉพาะหากธนาคารใช้ บริการส่ง OTP ที่เชื่อถือได้ จึงช่วยให้การตรวจสอบตัวตนเป็นแบบเรียลไทม์ ทำให้ธุรกรรมทางการเงินปลอดภัยและรวดเร็ว
- ใช้งานง่าย: การสร้าง ส่ง และกรอก OTP ไม่ยุ่งยาก ธนาคารหรือองค์กรต่าง ๆ สามารถนำระบบ OTP ไปใช้ได้ง่าย และผู้ใช้ก็สามารถทำตามขั้นตอนเพื่อกรอก OTP ได้สะดวก
- ลดความเสี่ยงการฉ้อโกง: การทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต การแฮก และการขโมยตัวตน เป็นความเสี่ยงที่ธนาคารต้องเผชิญ การเพิ่ม OTP เป็นชั้นความปลอดภัยช่วยลดโอกาสเกิดธุรกรรมฉ้อโกงได้มาก
การใช้งาน OTP ในธนาคารออนไลน์
มาดูตัวอย่างการใช้งาน OTP ในธนาคารออนไลน์และองค์กรการเงินต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างจากสถานการณ์จริงกัน
1. การยืนยันตัวตนเข้าสู่ระบบ
ธนาคารส่วนใหญ่ทั่วโลกมีระบบยืนยันตัวตน 2 ชั้น (2FA) หรือหลายชั้น (MFA) เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เข้าสู่ระบบเป็นเจ้าของบัญชีจริง โดยมักจะใช้ OTP เป็นหลัก ผู้ใช้จะได้รับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวผ่าน SMS, อีเมล หรือ WhatsApp การยืนยันตัวตนนี้สำคัญมากในการป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ผู้ไม่หวังดีจะได้ข้อมูลเข้าสู่ระบบของคุณไปแล้วก็ตาม
ตัวอย่าง
นี่คือตัวอย่าง OTP ทาง SMS ที่ Skrill ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลยอดนิยมสำหรับโอนเงิน ส่งให้ผู้ใช้เพื่อเข้าสู่ระบบบัญชี
2. การโอนเงิน
อีกหนึ่งการใช้งาน OTP ที่พบบ่อยในวงการธนาคาร คือเมื่อผู้ใช้ต้องการโอนเงิน ธนาคารและแอปโอนเงินอย่าง Google Pay และ Venmo จะขอ OTP ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง
การตรวจสอบ OTP ก่อนโอนเงินช่วยลดความเสี่ยงการฉ้อโกง เช่น หากแฮกเกอร์เข้าถึงบัญชีธนาคารของคุณได้ ก็จะไม่สามารถโอนเงินออกไปได้หากไม่มี OTP
ตัวอย่าง
นี่คือตัวอย่าง OTP ที่ Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ส่งให้ผู้ใช้เพื่อยืนยันธุรกรรมทางการเงิน
3. การชำระเงินออนไลน์
นอกจากการโอนเงินไปยังบัญชีอื่นแล้ว การทำธุรกรรมออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเติบโตของร้านค้าอีคอมเมิร์ซ การช้อปปิ้งออนไลน์ และเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม
เพื่อให้การชำระเงินออนไลน์ปลอดภัยสูงสุด ธนาคารจึงกำหนดให้ต้องมีการยืนยันตัวตนด้วย OTP โดยมักใช้กับทั้งธุรกรรมผ่านบัตรเดบิตและบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ธนาคารหลายแห่งอนุญาตให้ผู้ใช้เพิ่มบางแพลตฟอร์ม เช่น Amazon ไว้ในรายชื่อที่เชื่อถือได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องกรอก OTP ทุกครั้งที่ทำรายการ
ตัวอย่าง
ที่มา: https://developer.visa.com/
4. การแก้ไขข้อมูลบัญชี
การโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นทำให้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งของคุณเสี่ยงต่อการถูกแฮกหรือรั่วไหล ด้วยเหตุนี้ หลายธนาคารจึงกำหนดให้ต้องมี OTP ทุกครั้งที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบัญชี
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจรวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ที่ผูกไว้ อีเมล รหัสผ่าน บัตรประชาชน หรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ การยืนยันตัวตนด้วย OTP จะช่วยให้มั่นใจว่ามีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถแก้ไขข้อมูลสำคัญเหล่านี้ได้ ไม่ใช่อาชญากรไซเบอร์
5. การถอนเงินโดยไม่ใช้บัตร
การถอนเงินโดยไม่ใช้บัตรไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตของอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและกระเป๋าเงินมือถือ ธนาคารยุคใหม่เปิดโอกาสให้ลูกค้าถอนเงินสดได้โดยไม่ต้องใช้บัตร เพียงแค่กรอก OTP ที่ตู้ ATM ก็สามารถทำรายการได้สำเร็จ
ตัวอย่าง
ที่มา: https://av.sc.com/
วิธีการส่ง OTP
หลายคนอาจคิดว่า SMS และอีเมลคือช่องทางหลักในการส่ง OTP ให้ผู้ใช้ เพราะได้รับความนิยมสูง แต่ในความเป็นจริง องค์กรและสถาบันการเงินมีหลายวิธีในการส่ง OTP ให้กับผู้ใช้
แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย และเหมาะกับการใช้งานที่ต่างกัน มาดูวิธีการส่ง OTP ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกัน
1. OTP ผ่าน SMS
OTP ผ่าน SMS หมายถึง การส่งรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่ซ้ำกันไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้ผ่านบริการ SMS ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดเพราะรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย
การส่ง OTP ผ่าน SMS ไม่ได้จำกัดแค่ในแวดวงธนาคารหรือการเงินเท่านั้น องค์กร แอปพลิเคชัน บริการ และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ก็นิยมใช้ OTP ผ่าน SMS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นให้กับกระบวนการทำงาน
ตัวอย่าง OTP ผ่าน SMS ที่ธนาคารส่งให้ลูกค้า:
2. OTP ผ่านอีเมล
อีเมลก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการส่ง OTP โดยจะส่งรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันไปยังผู้ใช้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถนำไปใช้ยืนยันตัวตนได้
กระบวนการทั่วไปของ การส่ง OTP ผ่านอีเมล หรือ SMS มักจะมีขั้นตอนดังนี้:
- ผู้ใช้พยายามเข้าสู่ระบบในระบบหนึ่ง
- ระบบจะส่ง OTP ไปยังผู้ใช้ผ่านทาง SMS หรืออีเมล โดย OTP จะเป็นตัวเลข 4-6 หลัก
- ผู้ใช้กรอก OTP และเซิร์ฟเวอร์จะตรวจสอบรหัสนั้น
หาก OTP ถูกต้อง การยืนยันตัวตนจะสำเร็จ และผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงระบบ เช่น แอปธนาคาร ได้
ตัวอย่าง OTP ที่ส่งผ่านอีเมล:
3. การสร้าง OTP ในแอปธนาคาร
แอปธนาคารรุ่นใหม่ที่พัฒนามาอย่างดีสามารถสร้าง OTP ได้ภายในแอปของตนเอง ช่วยให้ขั้นตอนการยืนยันตัวตนรวดเร็วและง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องรอรับ OTP ผ่าน SMS หรืออีเมล กระบวนการนี้มักเรียกว่า soft token authentication หรือ app-based OTP generator
วิธีนี้เหมาะกับธนาคารและสถาบันการเงินที่ต้องยืนยันธุรกรรมออนไลน์และการเข้าสู่ระบบ รวมถึงองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสำหรับธุรกรรมขนาดใหญ่ การซื้อขายคริปโตและหุ้นก็มักใช้ OTP ผ่านแอปเพื่อความปลอดภัยเช่นกัน
โดยรวมแล้ว ธนาคารที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดและป้องกันการฉ้อโกงที่เกี่ยวกับ SMS หรืออีเมล ควรพิจารณาส่ง OTP ผ่านแอปของตนเอง
4. ฮาร์ดแวร์โทเค็น
ฮาร์ดแวร์โทเค็นคืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่สร้าง OTP ตามช่วงเวลาที่กำหนด เรียกได้ว่าเป็นกุญแจความปลอดภัยแบบฟิสิคัลหรืออุปกรณ์ยืนยันตัวตน โดยทั่วไปองค์กรหรือธนาคารที่มีความเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์จะใช้ฮาร์ดแวร์โทเค็นสำหรับ OTP แต่ยังไม่แพร่หลายทั่วทั้งวงการการเงิน
ขั้นตอนการยืนยัน OTP ด้วยฮาร์ดแวร์โทเค็นมีดังนี้:
ลูกค้าจะได้รับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทการ์ด หรือกุญแจโฟบ
อุปกรณ์จะสร้าง OTP ที่มีอายุจำกัดใหม่ทุก 30 ถึง 60 วินาที
ลูกค้ากรอก OTP เพื่อยืนยันธุรกรรมและการเข้าสู่ระบบ
ที่มา: https://calnet.berkeley.edu/
อุตสาหกรรมและสถานการณ์ที่เหมาะกับการใช้ OTP ผ่านฮาร์ดแวร์ ได้แก่:
องค์กรและธนาคารที่ต้องทำธุรกรรมขนาดใหญ่ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์
หน่วยงานราชการ
หน่วยงานด้านความมั่นคงที่มีข้อมูลลับและบันทึกทางการเงิน
องค์กรและบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงที่ต้องการความปลอดภัยทางการเงินสูงสุด
ใช้งาน OTP อย่างปลอดภัยได้อย่างไร?
นี่คือเคล็ดลับสำหรับบริษัท โดยเฉพาะธนาคาร ในการใช้ OTP เพื่อความปลอดภัยสูงสุด:
- เลือกวิธีส่ง OTP ที่ปลอดภัย: ไม่ว่าธนาคารจะเลือกวิธีส่ง OTP แบบใด ต้องมั่นใจว่ามีความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนแรก
- ใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น: ผสมผสาน OTP กับวิธีตรวจสอบตัวตนอื่น เช่น รหัสผ่านสองชั้น หรือไบโอเมตริกซ์
- สร้างและจัดเก็บ OTP อย่างปลอดภัย: กระบวนการสร้างและเก็บ OTP ในฐานข้อมูลต้องปลอดภัย เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ให้คำแนะนำการใช้ OTP อย่างชัดเจน: ผู้ใช้บริการธนาคารมีหลากหลาย บางคนอาจไม่คุ้นเคยกับ OTP ธนาคารควรให้ความรู้และเตือนผู้ใช้ไม่ให้เปิดเผย OTP กับผู้อื่น
- ใช้เทคโนโลยี OTP ที่เชื่อถือได้: ความสำเร็จของ OTP authentication ขึ้นอยู่กับคุณภาพและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่ใช้สร้างและส่ง OTP ดังนั้นองค์กรควรเลือกเทคโนโลยี OTP ที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง
EngageLab: แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้สำหรับส่ง OTP
กระบวนการตั้งค่า OTP ด้วยตนเองทั้งหมดอาจซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง เว้นแต่คุณจะใช้แพลตฟอร์มอย่าง EngageLab ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยให้คุณสื่อสารกับลูกค้าและรับรองความปลอดภัยผ่านวิธีการอย่าง OTP authentication
บริการ OTP ของ EngageLab เป็นโซลูชันแบบครบวงจรที่สามารถสร้างรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว ส่งรหัสผ่านเหล่านี้ผ่านหลายช่องทาง เช่น SMS, อีเมล, เสียง และ WhatsApp พร้อมรองรับการยืนยันตัวตน
โครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่ปลอดภัยและเทคโนโลยี API ขั้นสูงของ EngageLab ช่วยให้ OTP ส่งถึงผู้ใช้และกระบวนการยืนยันตัวตนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ความปลอดภัยและความรวดเร็วระดับนี้สำคัญต่อ OTP authentication ในทุกองค์กร โดยเฉพาะธนาคารออนไลน์
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์ม OTP authentication ที่เชื่อถือได้ ติดตั้งง่าย และให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นมิตร ขอแนะนำให้ลองใช้ EngageLab
คำถามที่พบบ่อย
-
1
ถ้าฉันไม่ได้รับ OTP ควรทำอย่างไร?
หากคุณไม่ได้รับ OTP ให้เลือก ‘ส่ง OTP อีกครั้ง’ ซึ่งมักจะมีให้ในทุกแพลตฟอร์ม หากยังไม่ได้รับ กรุณาติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของธนาคารเพื่อแจ้งปัญหา -
2
OTP มีอายุการใช้งานนานแค่ไหน?
ระยะเวลาที่ OTP ใช้ได้ขึ้นอยู่กับประเภทของบริการที่คุณใช้งาน โดยทั่วไป OTP จะมีอายุประมาณ 30 วินาที ถึง 5 นาที -
3
OTP สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หรือไม่?
ไม่ได้ OTP คือรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งจะหมดอายุทันทีหลังจากใช้งานครั้งแรก หรือเมื่อหมดเวลาที่กำหนดไว้
สรุป
เรากำลังอยู่ในยุคดิจิทัลที่การโจมตีทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ธนาคารและผู้ใช้งานต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของบัญชีการเงินและปกป้องเงินของคุณด้วยมาตรการอย่าง OTP
หากคุณปฏิบัติตามเทคนิคและเคล็ดลับที่กล่าวถึงในบทความนี้ คุณจะสามารถรักษาความปลอดภัยบัญชีธนาคารและเงินของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ OTP เพื่อเข้าถึงอย่างถูกต้องตามสิทธิ์เมื่อจำเป็น








